Quantcast
Channel: สำนักกฎหมายธรรมนิติ
Viewing all 253 articles
Browse latest View live

ครม. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล

$
0
0
Montree Atchariyasakulchai

                  

ครม. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล

 

                    เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล โดยอนุมัติหลักการในร่างพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร และเห็นชอบในหลักการตามประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนี้

                            - กำหนดให้เงินได้ตามมาตรา 40(7) และมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาที่สูงกว่าร้อยละ 60 ลดลงเหลือร้อยละ 60 สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป

                            - ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ ให้แก่บุคคลธรรมดา สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินใดๆ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม 2559 ถึง 31 ธันวาคม 2560 และให้สิทธินิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งดังกล่าว ที่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาท  สามารถนำรายจ่ายที่เกิดจากการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชีมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า เป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี

                            - ลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายที่ดินและกฎหมายอาคารชุด สำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยลดให้จากร้อยละ 2 ของราคาประเมินทุนทรัพย์ เป็นร้อยละ 0.01

                    ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

                    ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/rvcUk3

                    (ข้อที่ 3. เรื่อง  มาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล (ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศ รวม 4 ฉบับ)

 


ซื้อคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ใช้ปีนี้ ลดภาษีได้ทันใจ!!!

$
0
0
สุนทรี จุงเลียก

สุนทรี จุงเลียก

บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด

 

                ตามที่รัฐให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้สามารถนำรายจ่ายเพื่อการลงทุน หรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ (ต้องไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม) ในระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 มาหักเป็นรายจ่ายได้อีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริงนั้น ผู้เขียนได้เคยนำเสนอหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบื้องต้นในประเด็นรายจ่ายเพื่อการลงทุนดังกล่าวแล้ว ซึ่งท่านสามารถติดตามได้จากบทความเดิมทั้ง 2 ฉบับ[1]

                สำหรับบทความฉบับนี้ผู้เขียนขอนำเสนอหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพิ่มเติม ในประเด็นสำคัญกรณี "รายจ่ายเพื่อการลงทุน ฯ เกี่ยวกับทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ "ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านพอจะทราบอยู่แล้วว่าอะไรคือคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ แต่อย่างไรก็ตามการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนสำหรับทรัพย์สินดังกล่าวค่อนข้างมีความซับซ้อน ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอนำเสนอหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบื้องต้นในประเด็นดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการพิจารณาเมื่อสนใจซื้อคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ภายในปีนี้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 

               1. คำนิยาม 

                คำว่า “คอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์” นั้น ประมวลรัษฎากรมิได้กำหนดคำนิยามไว้เป็นการเฉพาะ กรณีจึงสามารถพิจารณาความหมายได้ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ดังต่อไปนี้

                 คอมพิวเตอร์[2]หมายถึง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์

                 โปรแกรมคอมพิวเตอร์[3]หมายถึง คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหรือเพื่อให้ได้รับผลอย่างหนึ่งอย่างใด

                 ซอฟต์แวร์ (Software)[4]หมายถึง ส่วนชุดคำสั่ง       

                 “ฮาร์ดแวร์ (Hardware)[5]หมายถึง ส่วนเครื่อง ส่วนอุปกรณ์ 

                สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนได้อีก 1 เท่า สำหรับทรัพย์สินดังกล่าวตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 นั้น ก็มิได้ให้ความหมายโดยกำหนดคำนิยามของคำว่า “คอมพิวเตอร์  โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์” ไว้เป็นพิเศษ แต่ในเมื่อสิทธิในการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 ใช้หลักเกณฑ์ทรัพย์สินนั้นต้องสามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65  ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากรได้[6]

                กรณีนี้ผู้เขียนจึงเห็นว่าน่าจะสามารถนำเอาความหมายของคำว่า “ทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์” ตามคำนิยามของหลักเกณฑ์การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาดังกล่าวตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527 มาพิจารณาเทียบเคียงเพื่อให้ทราบความหมายและขอบเขตของทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้สิทธิหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559ได้ ดังต่อไปนี้             

                "ทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์"หมายถึง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีการทางคณิตศาสตร์ตลอดจนอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ อันได้แก่ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องช่วยหรือเครื่องประกอบกับคอมพิวเตอร์ รวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์[7]

            2. ต้องเป็นทรัพย์สินที่สามารถใช้สิทธิได้ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559[8] ดังนี้

                2.1 เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์

                2.2 โปรแกรมคอมพิวเตอร์

                สำหรับคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์ จัดอยู่ในประเภททรัพย์สินตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 กำหนดไว้ และสามารถหักรายจ่ายได้อีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริงโดยวิธีการเฉลี่ยในจำนวนเท่ากันในแต่ละรอบบัญชีต่อเนื่องกันตามประเภทของทรัพย์สิน[9]โดยพิจารณาได้จากตาราง ดังต่อไปนี้

ตารางสรุปประเภททรัพย์สินและการเฉลี่ยหักรายจ่ายเพิ่มได้อีก 1 เท่า

 

                เพื่อความเข้าใจผู้เขียนขอยกตัวอย่างทรัพย์สินแต่ละประเภท ดังนี้

                  1) คอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์ เช่น คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Laptop), จอภาพ, คีย์บอร์ด เป็นต้น

                 2) ซอฟต์แวร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรมพื้นฐานเพื่อการใช้งานสำนักงาน, โปรแกรมบัญชี[10]เป็นต้น   

             3. ผู้ประกอบการต้องจ่ายรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ ในระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559

            4 ทรัพย์สินตามข้อ 2. ต้องมีลักษณะ ดังนี้

                4.1 เป็นทรัพย์สินใหม่แกะกล่อง

                4.2 มีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้ และพร้อมใช้งานภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ยกเว้น เครื่องจักร และอาคารถาวรที่อาจได้มาหรืออยู่ในสภาพพร้อมใช้การตามประสงค์ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ก็ได้[11]

                4.3 ทรัพย์สินนั้นต้องอยู่ในประเทศไทย (ยกเว้น ยานพาหนะ)

                4.4 ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้นำไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นและใช้สิทธิในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

            5. ระยะเวลาการจัดทำเอกสารประกอบการซื้อทรัพย์สินดังกล่าว

                ต้องเกิดจากสัญญา ใบสั่งซื้อ ใบสั่งจ้าง หรือข้อตกลงในลักษณะทำนองเดียวกันทั้งสิ้น แล้วแต่กรณี ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559

            6. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

                6.1 หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา[12]

                6.2 หักรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ เพิ่มได้อีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริงภายในปี 2559       

             เพื่อความเข้าใจสำหรับวิธีการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ เพิ่มได้อีก 1 เท่า ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่าง ดังต่อไปนี้

             หากผู้ประกอบการจ่ายค่าซื้อทรัพย์สินทั้งประเภทอุปกรณ์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หลายประเภท กรณีต้องเฉลี่ยหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ อย่างไร พิจารณาได้ ดังต่อไปนี้

                   1) กรณีซื้อคอมพิวเตอร์ (อุปกรณ์) พร้อมโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (มิได้แยกราคาซื้อคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์) กรณีถือเป็นการซื้อทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์ (อุปกรณ์)

                        ตัวอย่างที่ 1

                           เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 บริษัท ก. ซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพาใหม่ (Laptop) พร้อมโปรแกรมบัญชีใหม่ ในราคา 50,000 บาท (ชำระราคาภายในปี 2559) โดยมิได้แยกรายการโดยระบุไว้ในใบกำกับภาษีอย่างชัดแจ้ง

                             - กรณีถือเป็นการซื้อทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์แบบพกพาใหม่  (Laptop) ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ สามารถเฉลี่ยหักรายจ่ายเพื่อการลงทุน ฯ เพิ่มได้ 5 รอบระยะเวลาบัญชี ดังต่อไปนี้

                            พิจารณาได้จากตาราง ดังต่อไปนี้

                     2) กรณีแยกซื้อคอมพิวเตอร์ (อุปกรณ์) และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยมีเจตนาแยกซื้อทรัพย์สินดังกล่าวและระบุแยกรายการทรัพย์สินนั้นไว้ชัดแจ้งในใบกำกับภาษี กรณีถือเป็นการซื้อทรัพย์สินดังเช่นคอมพิวเตอร์ (อุปกรณ์) และโปรแกรมคอมพิวเตอร์แยกจากกันอย่างชัดแจ้ง   

                        ตัวอย่างที่ 2

                           เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามตัวอย่างที่ 1 หากบริษัท ก. แยกซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพาใหม่ (Laptop)  ในราคา 40,000 บาท แยกจากโปรแกรมบัญชีใหม่ในราคา 10,000 บาท (ชำระราคาภายในปี 2559) โดยระบุแยกรายการทรัพย์สินดังกล่าวไว้ในใบกำกับภาษีอย่างชัดแจ้ง

                                - กรณีถือเป็นการซื้อทรัพย์สิน 2 ประเภทแยกจากกันอย่างชัดเจน ดังนี้

                                    (1) ซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพาใหม่ (Laptop) ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ สามารถเฉลี่ยหักรายจ่าย ฯ เพิ่มได้ 5 รอบระยะเวลาบัญชี

                                    (2) ซื้อโปรแกรมบัญชีใหม่ ซึ่งถือเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถเฉลี่ยหักรายจ่าย ฯ เพิ่มได้ 3 รอบระยะเวลาบัญชี

                                    พิจารณาได้จากตาราง ดังต่อไปนี้

 

 

              เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น กรณีจึงเห็นได้ว่าผู้ประกอบการมีสิทธินำรายจ่ายเพื่อการลงทุน ฯ สำหรับค่าซื้อคอมพิวเตอร์  โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์มาหักเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ เพิ่มได้อีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริง นอกจากหักเป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527 โดยผู้ประสงค์จะใช้สิทธิหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนดังกล่าว สามารถหักรายจ่ายเพิ่มได้อีก 1 เท่าทางภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน[13]               

              ทั้งนี้ รายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ สำหรับคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์นั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องประกาศกำหนด

              อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์รายจ่ายเพื่อการลงทุน ฯ มีประเด็นค่อนข้างซับซ้อนยากต่อการตีความ ดังนั้น ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษี ก็จะสามารถช่วยให้ท่านดำเนินการทางด้านภาษีได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงในการถูกประเมินภาษีจากเจ้าหน้าที่สรรพากร นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษียังสามารถช่วยอัพเดตข้อมูลข่าวสารหรือกฎหมายภาษีเพื่อให้ท่านได้รับทราบในประเด็นกฎหมายภาษีใหม่ๆ ที่สำคัญทุกประเด็น

 

สนใจบริการด้านที่ปรึกษาภาษี กรุณาสอบถามรายละเอียดบริการเพิ่มเติมได้ที่

02 - 6809753, 02 - 6809708, 02 - 6809760

 




[2]พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554

[3]เพิ่งอ้าง

[4]สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, http://goo.gl/i9KKQ6

[5]เพิ่งอ้าง

[6]มาตรา 4 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559

[7]มาตรา 4 จัตวา วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527

[8]มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559

[9]ข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 266)

[10]ข้อหารือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0702/6421 ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2552

[11]มาตรา 4 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 ประกอบกับมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 622) พ.ศ.2559

[12]มาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527

[13]มาตรา 4 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 266)

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนกันยายน 2559

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

ฉบับที่ 69 เดือนกันยายน 2559

ภายในฉบับ

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. กำหนดให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าบริการหรือค่าที่พักในการท่องเที่ยวภายในประเทศ

3. ยกเว้นภาษีเงินได้ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนการออมแห่งชาติ

4. ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

5. หลักเกณฑ์การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสำหรับกิจการให้เช่ารถยนต์และทรัพย์สินที่ได้ใช้เป็นรถยนต์ต้นแบบ

6. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการบริจาคให้แก่สถานศึกษา

7. การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6)

ข่าวภาษี

1. ครม. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล 

2. สรรพากรเห็นชอบในหลักการเบี้ยประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 1109/2559

ระหว่างบริษัท ด.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องรายจ่ายที่เป็นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญา และรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ (ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (6), (13))

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. กำหนดให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 271) พ.ศ. 2559 กำหนดให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งมีหน้าทีตามที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรดังเช่นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นทั่วไป 

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/ZWvMYQและ http://goo.gl/EU1wmS

2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าบริการหรือค่าที่พักในการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 316 (พ.ศ.2559) กำหนดให้ขยายเวลาการได้รับสิทธิยกเว้นเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พัก สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศที่ได้จ่ายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ถึง 31 ธันวาคม 2559 (เดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558) นั้น ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 273) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พักดังกล่าวให้แก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

1)  กรณีโสด ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท

2)  กรณีมีคู่สมรส

     -  มีเงินได้ฝ่ายเดียว ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท

     -  ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ แต่ละฝ่ายได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท

3)  ผู้มีเงินได้ต้องเป็นผู้จ่ายค่าบริการหรือค่าที่พัก เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวของตนเอง

4)  มีหลักฐานการรับเงินจากผู้ประกอบการดังกล่าว โดยระบุชื่อผู้มีเงินได้ จำนวนเงิน และวัน เดือน ปี ที่จ่ายเงิน

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/kb5EGxและ http://goo.gl/kmPtGx

3. ยกเว้นภาษีเงินได้ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนการออมแห่งชาติ

ตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 314 (พ.ศ.2559) กำหนดยกเว้นเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดา โดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 274) และ (ฉบับที่ 275) พ.ศ.2559 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นเงินภาษีเงินได้ ดังต่อไปนี้

1.  เงินได้เท่าที่จ่ายเป็นเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาตินำไปคำนวณหักจากเงินได้พึงประเมินภายหลังจากที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว

2.  เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนการออมแห่งชาติจะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณ

ต่อเมื่อมีหลักฐานจากแพทย์หากทุพพลภาพ หรือหลักฐานแสดงถึงการตาย เป็นต้น

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/E7iGvpและ http://goo.gl/dpevHeและ http://goo.gl/VLZTjo  

4. ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 619) พ.ศ. 2559 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการบริจาคให้แก่กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งขึ้น โดย

- บุคคลธรรมดาต้องบริจาคเป็นเงินเท่านั้น และ

- นิติบุคคลสามารถบริจาคเป็นเงินหรือทรัพย์สินก็ได้

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/yGmUvQ

5. หลักเกณฑ์การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสำหรับกิจการให้เช่ารถยนต์และทรัพย์สินที่ได้ใช้เป็นรถยนต์ต้นแบบ

พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 620) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับกิจการให้เช่ารถยนต์จะต้องไม่นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในกิจการอื่น และทรัพย์สินที่เป็นรถยนต์ต้นแบบที่ใช้เพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต หากเข้าเงื่อนไขดังกล่าวสามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าต้นทุนทั้งหมดได้ โดยต้องได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/nUSZpC

6. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการบริจาคให้แก่สถานศึกษา

ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 616) พ.ศ. 2559 ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาค 2 เท่า เมื่อบริจาคให้แก่สถานศึกษา แต่ไม่รวมโรงเรียนกวดวิชา ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึง 31 ธันวาคม 2561 พร้อมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ผู้บริจาค สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินหรือการขายสินค้า หรือกระทำตราสารนั้น

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไข สำหรับการบริจาคให้แก่สถานศึกษาดังกล่าว ดังต่อไปนี้

1) กรณียกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาค

1.1) บุคคลธรรมดาต้องบริจาคเป็นเงินเท่านั้น 

1.2) นิติบุคคลสามารถบริจาคเป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าก็ได้ 

2) กรณียกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขาย หรือกระทำตราสาร 

ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือออกโดยสถานศึกษาผู้รับบริจาคดังกล่าว เช่น หนังสือขอบคุณ ใบอนุโมทนาบัตร เป็นต้น

ทั้งนี้ ประกาศ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/BtX7RTและ http://goo.gl/qVHMZr

7. การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6)

กรมสรรพากรได้ออกคำชี้แจงกรมสรรพากร เรื่อง การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรฯ (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2559 เพื่อแจ้งให้นิติบุคคลที่จดแจ้งเข้าสู่ระบบบัญชีเดียวฯ ที่ได้นำส่งงบการเงินไว้แล้ว แต่พบข้อผิดพลาดทางบัญชีภายหลัง ให้สามารถปรับปรุงรายการทางบัญชีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี พ.ศ. 2558 หรือปรับปรุงบัญชีเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดฯ อีกครั้งได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/MrTnCg

 

ข่าวภาษี

1. ครม. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล โดยอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศ 4 ฉบับ โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้

1) เงินได้ตามมาตรา 40(7) และมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 60 โดยจะใช้บังคับกับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 เป็น ต้นไป

2) ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ ให้แก่บุคคลธรรมดา สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินใดๆ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งในระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 

3) บริษัท SME มีสิทธินำรายจ่ายที่เกิดจากการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ รายจ่ายค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชีมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า เป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี

4) ลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจากร้อยละ 2 ของราคาประเมินทุนทรัพย์ เป็นร้อยละ 0.01 เมื่อโอนอสังหาริมทรัพย์หรือห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ 

ทั้งนี้ การอนุมัติหลักการดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่าจะได้มีการออกกฎหมาย

ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/rTDpne

2. สรรพากรเห็นชอบในหลักการเบี้ยประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้เห็นชอบในหลักการที่จะให้สิทธิประชาชนผู้ซื้อประกันสุขภาพสามารถนำค่าเบี้ยประกันไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี โดยลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปีสำหรับทุนประกันสุขภาพที่ไม่เกิน 500,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้เกิดการประกันสุขภาพมากขึ้นและเพื่อลดงบประมาณของรัฐบาลในการดูแลสุขภาพประชาชน แต่การเห็นชอบในหลักการดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่าจะได้มีการออกกฎหมาย

ติดตามรายละเอียดจาก http://goo.gl/X9tHtO

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 1109/2559

ระหว่างบริษัท ด.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องรายจ่ายที่เป็นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญา และรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ (ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (6), (13))

 

คดีนี้ โจทก์สำแดงราคาสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าไว้ต่ำกว่าราคาตามเอกสารที่ศุลกากรตรวจยึดได้ โจทก์ทราบราคาที่แท้จริงอยู่แล้ว แต่มีเจตนาสำแดงราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริงเพื่อให้โจทก์มิต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้โจทก์ต้องรับผิดในค่าปรับอากรขาด เงินเพิ่มศุลกากร และค่าปรับภาษีเพื่อมหาดไทย ซึ่งเห็นได้ว่า ค่าปรับ เงินเพิ่มศุลกากร และค่าปรับภาษีเพื่อมหาดไทยจึงมิใช่รายจ่ายเพื่อการลงทุน หรือค่าใช้จ่ายตามปรกติในการประกอบกิจการโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นรายจ่ายเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เป็นรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ จึงไม่อาจถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร

อีกทั้งเห็นว่า ค่าปรับทางอาญาและเงินเพิ่มภาษีอากรตามมาตรา 65 ตรี(6) มิใช่ค่าปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น แต่รวมถึงค่าปรับที่เป็นโทษทางอาญาและเงินเพิ่มภาษีอากรตามกฎหมายอื่นด้วย  

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยที่ผู้เขียนมิได้มีส่วนได้เสียในคดี ผู้เขียนมีข้อสังเกตบางประการดังนี้

1. การคำนวณรายจ่ายเพื่อเสียภาษีตามมาตรา 65 ตรี (6) นั้น คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 10/2558 ได้วินิจฉัยทำนองว่า การตีความว่าเบี้ยปรับและ/หรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญานั้นหมายความถึง เบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญาตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น 

2. แม้ว่าคำวินิจฉัยฯ จะไม่มีสถานะเป็นกฎหมายให้ศาลจะต้องนำมาวินิจฉัย แต่คำวินิจฉัยฯ ก็ถือได้ว่าเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้เสียภาษีซึ่งได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตามกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2528 จึงยังควรใช้หลักการดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะได้มีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรใหม่หรือกฎหมายใหม่ที่กำหนดเปลี่ยนแปลงหลักปฏิบัติดังกล่าว มิเช่นนั้นแล้ว ย่อมขัดกับหลักการพื้นฐานแห่งการภาษีอากรที่ว่า กฎหมายภาษีอากรจะต้องมีความแน่นอนให้ผู้เสียภาษีอากรสามารถปฏิบัติตามได้ 

3. การตีความมาตรา 65 ตรี (6) ควรจะต้องตีความอย่างแคบ เนื่องจากว่าประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายมหาชนที่กำหนดภาระหน้าที่ให้ประชาชนปฏิบัติต่อรัฐซึ่งกระทบกระเทือนต่อสิทธิและทรัพย์สินของประชาชน จึงต้องถูกตีความโดยเคร่งครัดและระมัดระวังในทางที่จะไม่ก่อให้เกิดภาระหน้าที่หรือกระทบต่อสิทธิของประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องเสียภาษีเพิ่ม 

เหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนไม่อาจเห็นพ้องด้วยว่าการตีความเบี้ยปรับและ/หรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญาตามมาตรา 65 ตรี (6) จะหมายความรวมถึงเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย 

4. มาตรา 65 ตรี (6) ก่อนได้รับการแก้ไขในปี พ.ศ. 2525 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า “ภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติม การตีความก็ต้องสอดคล้องไปกับถ้อยคำอื่นๆ ในอนุมาตราเดียวกัน คือเป็นเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ค่าปรับทางอาญาในเรื่องของภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งหากผู้บัญญัติกฎหมายประสงค์จะให้หมายถึงเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ค่าปรับทางอาญาตามกฎหมายอื่นแล้วก็ควรจะต้องกำหนดให้ชัดเจน หรือกำหนดขึ้นใหม่เป็นอนุมาตราอื่น 

5. การที่ศาลได้นำมาตรา 65 ตรี (13) เรื่อง รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ มาปรับใช้กับเรื่องเบี้ยปรับและ/หรือเงินเพิ่ม ค่าปรับทางอาญานั้นเป็นกรณีที่คลาดเคลื่อน เพราะว่าเมื่อมีบทบัญญัติเฉพาะก็ควรนำบทบัญญัติเฉพาะขึ้นปรับกับข้อเท็จจริงแทนที่จะนำอนุมาตรา (13) ซึ่งมีลักษณะอันพิจารณาได้ว่าเป็นบททั่วไปมาปรับใช้ 

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นด้วยในหลักการและเหตุผลที่ว่า  รายจ่ายเพื่อปลดเปลื้องความรับผิดอันเนื่องมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นไม่ควรถือว่าเป็นรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ เพราะว่านิติบุคคลไม่ควรแสวงหากำไรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกฎหมายภาษีอากรไม่ควรส่งเสริมให้สามารถนำรายจ่ายเหล่านั้นมาใช้เป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีอากรได้ แต่ทว่าหลักการและเหตุผลดังกล่าวยังไม่ใช่กฎหมายลายลักษณ์อักษรในปัจจุบัน กฎหมายภาษีเป็นบทบังคับที่จำกัดสิทธิและทรัพย์สินควรของประชาชนถูกตีความและบังคับใช้โดยชัดแจ้ง หากรัฐเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวไม่ยังไม่ชัดแจ้งก็ควรจะต้องไปแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายมีความชัดเจนและสามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตามให้แก่ผู้เสียภาษีอากรได้ต่อไปตามหลักการภาษีอากรที่ดี

นายมนตรี อัจฉริยสกุลชัย

 

หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9753 Email: budhimak [at] dlo.co.th, sureelukt [at] dlo.co.th

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

 

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

 

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

 

 

 

ขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มถึงวันที่ 30 กันยายน 2560

$
0
0
Chaisiri Lewsomlit

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่...) พ.ศ....

เพื่อขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 6.3(ร้อยละ 7 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่นแล้ว)ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 ถึง 30 กันยายน 2560 (เดิมสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559)

ทั้งนี้  ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กฎหมายประกาศกำหนดต่อไป

ที่มา: https://goo.gl/bZnMU3

 

ต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารใหม่ ลดภาษีได้ทันใจ!

$
0
0
ราชศักดิ์ กุลกัลยา

ราชศักดิ์ กุลกัลยา

บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด

 

                เป็นโอกาสดีของผู้ประกอบที่เป็นนิติบุคคลไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะทำการลงทุนในกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารใหม่ ซึ่งจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายได้อีก 1 เท่า[i]โดยผู้เขียนขอนำเสนอดังต่อไปนี้

                 โดยปกติแล้วเมื่อผู้ประกอบการทำการต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารหลังใหม่ที่ใช้ในการประกอบกิจการ ประมวลรัษฎากรไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการนำรายจ่ายที่เกิดจากการดำเนินการดังกล่าวมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เนื่องจากรายจ่ายดังกล่าวเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน[ii]อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของอาคารส่วนที่มีการต่อเติม ดัดแปลงหรือสร้างใหม่นั้น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ประมวลรัษฎากรกำหนด[iii]         

ตัวอย่างที่ 1.

                ผู้ประกอบการสร้างอาคารถาวรหลังใหม่เพื่อใช้ในการประกอบกิจการสามารถหักค่าเสื่อมราคา ได้ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี[iv]  หากผู้ประกอบการมีรายจ่ายในการลงทุนสร้างอาคารถาวรหลังใหม่นี้รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,000,000 บาท ผู้ประกอบการสามารถหักค่าเสื่อมราคาและสามารถนำไปถือเป็นรายจ่ายเพื่อคำนวณกำไรสุทธิของกิจการได้จำนวน 50,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี

                แต่ตามกฎหมายฉบับนี้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ผู้ประกอบให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการต่อเติม ดัดแปลงหรือสร้างอาคารถาวรหลังใหม่ มาหักเป็นรายจ่ายได้อีก 1 เท่าในการคำนวณกำไรสุทธินับตั้งแต่ปีที่มีการต่อเติมหรือสร้างอาคารหลังใหม่นั้น แต่ถึงอย่างไรผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ดังต่อไปนี้

 1. อาคารถาวรที่ผู้ประกอบการลงทุนต้องมีลักษณะดังนี้

               1.1 ต้องเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน หรือการต่อเติม ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งอาคารถาวรที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ

                     ไม่ว่าผู้ประกอบการจะสร้างอาคารสำนักงานหลังใหม่ หรือแม้จะเป็นเพียงการต่อเติมอาคาร หรือทำการตกแต่งภายในที่มีลักษณะเป็นการทำให้อาคารดังกล่าวมีสภาพดีขึ้นไปกว่าเดิม แต่ไม่รวมถึงการซ่อมแซมอาคารให้คงสภาพเดิม หรือเป็นกรณีที่ผู้ประกอบการซื้อหรือเช่าซื้ออาคารถาวรหลังใหม่[v]

               1.2 ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน

                     ผู้ประกอบการไม่สามารถซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว นำมาใช้ในการต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารดังกล่าว

               1.3 เป็นทรัพย์สินที่นำมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้

                     ผู้ประกอบการต้องศึกษาเพิ่มเติมได้จาก พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527

                1.4 เป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย

                     หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบการลงทุนต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารของกิจการในต่างประเทศ รายจ่ายดังกล่าวไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกฎหมายฉบับนี้

                 1.5 ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้นำไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นและใช้สิทธิในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

 

2. เงื่อนไขในการจ่ายเงินและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน

                2.1 ต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายไปจริงตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

                     โดยปกติแล้ว ผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลต้องใช้เกณฑ์สิทธิในการรับรู้รายจ่ายของกิจการ กล่าวคือ ในกรณีที่บริษัทตกลงว่าจ้างผู้รับเหมาในการต่อเติมอาคารเพื่อทำให้ดีขึ้นมูลค่า 100,000 บาท ในปี 2559 ซึ่งผู้ประกอบการต้องหักค่าเสื่อมราคาโดยใช้เกณฑ์สิทธิตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แม้จะมีการจ่ายจริงในปี 2560 ผู้ประกอบการยังคงต้องเริ่มหักค่าเสื่อมราคาดังกล่าวในปี 2559 เช่นเดิม[vi]

                     แต่ตามกฎหมายฉบับนี้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายไปจริงเท่านั้น[vii]ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ดังนั้น ตามตัวอย่างข้างต้น ผู้ประกอบการจะไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ แม้จะมีการตกลงว่าจ้างกันจริงในปี 2559 แต่ได้มีการชำระเงินให้แก่ผู้เราเหมาจริงในปี 2560 ซึ่งไม่อยู่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

                 2.2 อาคารถาวรดังกล่าวอาจได้มาหรืออยู่ในสภาพพร้อมใช้การตามประสงค์ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ก็ได้[viii]

                      การที่ผู้ประกอบการได้ทำการต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารถาวรให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาของกฎหมายฉบับนี้ย่อมเป็นการยาก เนื่องจากกฎหมายฉบับดังกล่าวมีระยะเวลาเพียง 14 เดือน ซึ่งกว่าผู้ประกอบการจะทำการวางแผนก่อสร้างและดำเนินการขอใบอนุญาตต่อเจ้าพนักงานอาจใช้เวลาไปแล้วพอสมควร กฎหมายฉบับนี้จึงอนุโลมให้การต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารถาวรดังกล่าวสามารถแล้วเสร็จหรือมีสภาพพร้อมใช้งานภายหลังระยะเวลาที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดได้ แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายมิได้อนุโลมถึงการชำระเงินจากการลงทุนดังกล่าว ยังคงถือหลักวันที่จ่ายจริงในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเช่นเดิม เพราะมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการเร่งลงทุนเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว

                      นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แต่หากเป็นกรณีที่ไม่ถือว่าเป็นการสร้างหรือดัดแปลงอาคารตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ผู้ประกอบการจะต้องมีหลักฐานจากการจ้าง ใบสั่งจ้างหรือข้อตกลงในลักษณะทำนองเดียวกันซึ่งได้กระทำตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 [ix]

 

3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

                เมื่อปฏิบัติครบตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั้งหมดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนดังกล่าวเพิ่มได้อีก 1 เท่า โดยกฎหมายกำหนดให้เฉลี่ยหักเป็นรายจ่าย 20 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน ทั้งนี้ เพื่อความเข้าใจวิธีการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนตามกฎหมายฉบับนี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประกอบ ดังต่อไปนี้

 ตัวอย่างที่ 2.

                ผู้ประกอบการมีรายจ่ายในการลงทุนสร้างอาคารถาวรหลังใหม่รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,000,000 บาท และได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั้งหมดดังที่ได้กล่าวมาแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังนี้

                1. หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ดังที่อธิบายมาแล้วตามตัวอย่างที่ 1.)

                2. หักรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ เพิ่มได้อีก 1 เท่าตามกฎหมายฉบับนี้

                               

                จากตัวอย่างดังกล่าว ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกฎหมายฉบับนี้ ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิเพียงหักค่าเสื่อมราคา เป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพียง 50,000 บาท เป็นระยะเวลา 20 ปี รวมเป็นรายจ่ายทั้งสิ้น 1,000,000 บาท เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเพื่อทรัพย์สินดังกล่าว แต่ถ้าผู้ประกอบการได้รับสิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ด้วยแล้ว จะทำให้ได้รับสิทธิในการหักค่าใช้จ่ายได้อีก 1 เท่า โดยเฉลี่ยเป็นเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชี ส่งผลให้ผู้ประกอบการหักค่าใช้จ่ายได้รอบบัญชีละ 100,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี รวมเป็นรายจ่ายทั้งสิ้น 2,000,000 บาท มากกว่ารายจ่ายที่ได้จ่ายไปจริงเป็นจำนวน 1 เท่า

                 อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์รายจ่ายเพื่อการลงทุน ฯ มีประเด็นค่อนข้างซับซ้อนยากต่อการตีความ ดังนั้น ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษี ก็จะสามารถช่วยให้ท่านดำเนินการทางด้านภาษีได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงในการถูกประเมินภาษีจากเจ้าหน้าที่สรรพากร นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษียังสามารถช่วยให้ข้อมูลข่าวสารหรือกฎหมายภาษีท่านสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงประเด็นกฎหมายภาษีใหม่ๆ ที่สำคัญทุกประเด็น

                นอกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับตามกฎหมายฉบับนี้แล้ว ยังมีประเด็นทางภาษีที่ผู้ประกอบการต้องควรทราบเกี่ยวกับการต่อเติม ดัดแปลง หรือสร้างอาคารนี้ ซึ่งอาจต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อจากการดำเนินการดังกล่าวในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หากผู้ประกอบการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว อาจเสียสิทธิที่ตัวเองจะได้รับในการเฉลี่ยภาษีซื้อและในบางกรณีอาจต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีกด้วย โดยผู้เขียนจะขอนำเสนอประเด็นดังกล่าวในบทความฉบับต่อไป

 

สนใจบริการด้านที่ปรึกษาภาษี กรุณาสอบถามรายละเอียดบริการเพิ่มเติมได้ที่

 02 - 6809708, 02 - 6809760, 02 - 6809753




[i]พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559

[ii]มาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร

[iii]มาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527

[iv]มาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527

[v]มาตรา3 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559

[vi]ทั้งนี้ อาคารที่ต่อเติมดังกล่าวต้องพร้อมใช้งานในปี 2559 ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการหักค่าเสื่อมราคา

[vii]มาตรา3 วรรค 2 แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559

[viii]มาตรา 4 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 622) พ.ศ. 2559

[ix]ข้อ 2 ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับเงินได้ (ฉบับที่ 266) ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับเงินได้ (ฉบับที่ 270)

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนตุลาคม 2559

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

ฉบับที่ 70 เดือนตุลาคม 2559

ภายในฉบับ

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1.     ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงิน

2.     หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการซื้อ LTF

3.     ขยายเวลาการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของสถาบันการเงิน

4.     หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของผู้ลงทุนในกิจการเงินร่วมลงทุน

ข่าวภาษี

1.     อัพเดตภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

2.     สรรพากรเชิญชวนธุรกิจเข้าข่ายเสียภาษีนิติบุคคล

3.     กทม.เร่งเก็บภาษีคอนโดฯ ปล่อยเช่าหลังรายได้หลุดเป้า

4.     ลดภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 314/2559

ระหว่างบริษัท น.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องเงินปันผลที่ได้รับยกเว้นมารวมคำนวณเป็นเงินได้และการหักภาษี ณ ที่จ่ายประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (10)

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงิน

        พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 623) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินซึ่งรวมถึงผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงินที่ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด และได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป

        ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2559 เป็นต้นไป

        ติดตามรายละเอียดได้จาก http://goo.gl/RwSqzc

2. หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการซื้อ LTF

        ตามที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 317 (พ.ศ.2559) กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งบุคคลธรรมดาต้องซื้อและถือหน่วยลงทุนดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 7  ปีปฏิทิน (เดิม 5 ปีปฏิทิน) จึงจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นั้น

        ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 276) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าว ดังต่อไปนี้

                1) ผู้มีเงินได้ต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น

                2) ต้องซื้อ LTF ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น

                3) ต้องถือ LTF ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน เว้นแต่ ทุพพลภาพหรือตาย   

                4) ต้องซื้อ LTF ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562

        ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/ilwRb6และ http://goo.gl/10j35c

3. ขยายเวลาการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของสถาบันการเงิน

        ตามที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 186 (พ.ศ.2534) และกฎกระทรวงฉบับที่ 306 (พ.ศ.2557) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน ซึ่งสิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2557

        ต่อมากฎกระทรวงฉบับที่ 321 (พ.ศ.2559) ได้กำหนดให้ขยายเวลาการจำหน่ายหนี้สูญดังกล่าว ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/DXbKHR , https://goo.gl/TBrh5cและ https://goo.gl/bhxv0Q

4. หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของผู้ลงทุนในกิจการเงินร่วมลงทุน

        ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 597) พ.ศ.2559 ได้กำหนดยกเว้นภาษีเงินได้จากการโอนหุ้นของบริษัทซึ่งประกอบกิจการเงินร่วมลงทุนหรือโอนหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนซึ่งลงทุนในบริษัทเป้าหมายนั้น

        ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 279) พ.ศ. 2559 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของผู้ลงทุน สำหรับการโอนหุ้นหรือโอนหน่วยทรัสต์ ดังต่อไปนี้

        1) ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผลจากบริษัทซึ่งประกอบกิจการเงินร่วมทุน

                1.1) หากจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้  ผู้ลงทุนจะได้รับยกเว้นภาษีจากเงินปันผลทั้งหมด

                1.2) หากมิได้ระบุว่าจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้หรือไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ผู้ลงทุนต้องเฉลี่ยเงินปันผลตามส่วนกำไรสุทธิที่ได้รับและไม่ได้รับยกเว้นภาษี

        2) ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผลจากทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน

                2.1) หากจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิจากการลงทุนในบริษัทเป้าหมาย ผู้ลงทุนจะได้รับยกเว้นภาษีจากเงินปันผลทั้งหมด

                2.2) หากมิได้ระบุว่าจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิจากการลงทุนในบริษัทเป้าหมายหรือกิจการอื่น ผู้ลงทุนต้องเฉลี่ยเงินปันผลตามส่วนกำไรสุทธิจากการลงทุนในบริษัทเป้าหมายในส่วนกิจการที่รัฐสนับสนุนกับกำไรสุทธิจากการลงทุนในกิจการอื่น

       ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/Zo61CMและ http://goo.gl/KoXRH1

 

ข่าวภาษี

1. อัพเดตภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

        ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งอาจเสนอให้ ครม.และ สนช.พิจารณาได้ภายในเดือนตุลาคม 2559 และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2560

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/zYWe1M

2. สรรพากรเชิญชวนธุรกิจเข้าข่ายเสียภาษีนิติบุคคล

        อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ปีนี้กรมสรรพากรเร่งขยายฐานภาษีตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง โดยเชิญชวนให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลเพิ่มขึ้น มีการแนะนำให้จัดทำบัญชีชุดเดียวพร้อมเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าสู่ระบบอีเพย์เมนต์ โดยเท่าที่หารือเบื้องต้นร้านขายยาทั้งหมดยินดีมาจดทะเบียนนิติบุคคล

       สำหรับการเก็บภาษีผู้ประกอบการค้าขายออนไลน์ หรืออี-คอมเมอร์ซนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล และหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างกรมสรรพากร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักระยะ

        ติดตามรายละเอียดจาก https://goo.gl/FRdUUJและ https://goo.gl/e0PkHj

3. กทม.เร่งเก็บภาษีคอนโดฯ ปล่อยเช่าหลังรายได้หลุดเป้า

        ผู้อำนวยการสำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งเร่งรัดให้สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต จัดเก็บภาษีแต่ละพื้นที่ให้ครอบคลุมมากขึ้น ล่าสุดให้ขยายฐานการเก็บภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างไปยังคอนโดมิเนียมที่ปล่อยให้เช่าหรือไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเอง 

        ติดตามรายละเอียดจาก  https://goo.gl/JGo25A

4. ลดภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

        เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ดังต่อไปนี้

                1) สามารถหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนหรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้น ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตสินค้าหรือการขายสินค้าหรือการให้บริการในพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่รวมการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม เป็นจำนวน 2 เท่าได้

                2) ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิ 5 รอบระยะเวลาบัญชี

                3) ให้สิทธิบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นลูกจ้าง มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานในอัตราร้อยละ 3 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้พึงประเมินอื่นๆ ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

        ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายประกาศกำหนดต่อไป

        ติดตามรายละเอียดจาก https://goo.gl/uxWU79

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 314/2559

ระหว่างบริษัท น.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องเงินปันผลที่ได้รับยกเว้นมารวมคำนวณเป็นเงินได้ตามมาตรา65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร   และการหักภาษี ณ ที่จ่าย

 

        โจทก์เป็นบริษัทจำกัดจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ในรอบบัญชี (วันที่ 1 ตุลาคม 2549 - 30 กันยายน 2550) โจทก์ ถือหุ้นในบริษัท อ. จำกัด (มหาชน) และบริษัท อ. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในบริษัทโจทก์เกินกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2550 บริษัทโจทก์มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้น

        วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 โจทก์ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท อ. จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด  ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 โจทก์ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัท อ. จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวน 15,988,800 บาท

        จำเลยประเมินภาษีว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลดังกล่าว โดยเนื่องจากโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้รับเงินปันผลในรอบบัญชีที่จ่ายเงินปันผลตามมติ กพอ. ที่ 9/2535 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2535 ที่กำหนดไม่ให้บริษัทจำกัดผู้จ่ายเงินปันผลถือหุ้นในบริษัทจำกัดผู้รับเงินปันผลไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมนั้นหมายถึงไม่ได้ถือหุ้นในรอบระยะเวลาบัญชีที่จ่ายเงินปันผล

        ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย

        ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่ามติ กพอ. วางหลักเกณฑ์นอกเหนือไปจากประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (10) บัญญัติ จึงนำมติ กพอ. มาใช้เป็นผลร้ายแก่โจทก์ไม่ได้ ขณะที่โจทก์ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อประกาศจ่ายเงินปันผล โจทก์ไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดผู้รับเงินปันผลไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และเมื่อบริษัท อ. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในบริษัทโจทก์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทโจทก์ เงินปันผลที่บริษัท อ. จำกัด (มหาชน) ได้รับ จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาเป็นรายได้ทั้งจำนวนตามมาตรา 65 ทวิ (10) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 5 แห่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

       คดีนี้เป็นปัญหาการตีความข้อกฎหมายเรื่องการห้ามบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเข้าไปถือหุ้นในบริษัทผู้รับเงินปันผลไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (10) โดยศาลฎีกาเห็นว่า มติ กพอ. ที่ 9/2535 วางหลักเกณฑ์ที่นอกเหนือไปจากมาตรา 65 ทวิ (10) ดังนั้นจะนำมติ กพอ. ดังกล่าวมาใช้เป็นผลร้ายแก่โจทก์ไม่ได้ ในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นพ้องกับการวินิจฉัยของศาลฎีกา เพราะประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายมหาชนที่จำกัดสิทธิและบังคับเอาจากทรัพย์สินของประชาชน ดังนั้นจะตีความทางที่จะเป็นผลร้ายให้ประชาชนต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากประมวลรัษฎากรกำหนดไม่ได้

        ในเรื่องมติของ กพอ. นั้น ผู้เขียนเห็นว่า มติของ กพอ. เป็นคุณแก่ผู้เสียภาษีอากร การปรับใช้มติของ กพอ. ก็ยังต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 2638/2530 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยทำนองว่า มติของ กพอ. มิใช่คำสั่งของกรมสรรพากรให้ต้องถือปฏิบัติเป็นการทั่วไป แต่เป็นการปรับใช้เฉพาะเรื่องเท่านั้น ผู้เขียนเห็นว่า แม้ว่ามติจะเป็นคุณแก่ผู้เสียภาษีรายหนึ่ง หากมีข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของผู้เสียภาษีแตกต่างกันแล้วก็ไม่อาจนำมติที่เป็นคุณดังกล่าวมาปรับใช้ได้

        นอกจากนี้ ในคดีนี้จำเลยได้อ้างถึงหนังสือตอบข้อหารือที่ กค.0802/443 ลงวันที่ 12 มกราคม 2536 และ กค.0802(กม)/155 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 ซึ่งทั้งสองฉบับได้อ้างถึงการตีความ กพอ. ข้างต้น ดังนั้นเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจะนำมติของ กพอ. มาใช้เป็นผลร้ายแก่ผู้เสียภาษีไม่ได้ จึงทำให้หนังสือตอบข้อหารือดังกล่าวไม่สามารถใช้เป็นแนวทางพิจารณาและปฏิบัติเพื่อเสียภาษีอากรได้อีก ดังนั้นผู้เสียภาษีอากรและผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับภาษีอากรจึงจำเป็นต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงของบทบัญญัติกฎหมายภาษีและการบังคับใช้กฎหมายภาษีอากรอย่างต่อเนื่อง

 

นายมนตรี อัจฉริยสกุลชัย

 

        หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, chatwaleem [at] dlo.co.th

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

 

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

 

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

 

 

 

ข่าวล่าสุด! ครม.มีมติแก้กฎหมายกรณีบุคคลธรรมดาขายอสังหาริมทรัพย์

$
0
0
Chatwalee Maitri

ข่าวล่าสุด!  คณะรัฐมนตรี อนุมัติร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 โดยมีเนื้อหากำหนดว่า“ให้ใช้ราคาขายที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินแสดงหรือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า เป็นเงินได้พึงประเมินของผู้นั้น...”

หมายความว่า เงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ใช้ราคาประเมินที่ดินหรือราคาตลาดที่มีการซื้อขายกันจริง โดยต้องใช้ราคาที่เป็นจำนวนที่สูงกว่า

เดิมมาตรา 49 ทวิ กำหนดว่า “ในกรณีที่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยมีหรือไม่มีค่าตอบแทน ไม่ว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ให้เจ้าพนักงานประเมินกำหนดราคาขายอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น”

หมายความว่า แม้ว่าจะขายได้จริงสูงกว่าราคาประเมิน ก็ยังคงต้องเสียภาษีจากฐานราคาประเมินที่ดิน ทั้งนี้ กฎหมายยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีการออกกฎหมายใหม่มาใช้บังคับ

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ บุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จะต้องเสียภาษีสูงขึ้นเพราะไม่สามารถใช้ราคาประเมินที่ต่ำกว่าเป็นฐานในการคำนวณเสียภาษีได้อีกต่อไป

ติดตามรายละเอียดได้จาก: เว็บไซต์รัฐบาลไทย

อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ให้เกียรติเยี่ยมชมสำนักกฎหมายธรรมนิติ

$
0
0
กองบรรณาธิการ

ในวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ท่านอัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นายปีเตอร์ เฮย์มอนด์ ได้ให้เกียรติเยี่ยมชมสำนักกฎหมายธรรมนิติ และได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารสำนักกฎหมายฯ เป็นเวลาสองชั่วโมง


การทำบุญอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลที่ได้ประโยชน์ทางภาษี

$
0
0
พุทธิมา เกิดศิริ

             พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอันยิ่งใหญ่เรียกได้ว่าตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ซึ่งบางโครงการได้จัดตั้งในรูปแบบมูลนิธิเพื่อสืบสานพระราชปณิธานและเปิดโอกาสให้พสกนิกรชาวไทยได้ร่วมทำบุญทำกุศลตามแนวทางที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระมหากรุณาธิคุณมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่างๆ ไว้ โดยผู้บริจาคสามารถนำหลักฐานการบริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อน หรือค่าใช้จ่ายได้ตามเงื่อนไขดังนี้

            1). กรณีบุคคลธรรมดาบริจาคเป็นเงินเท่านั้นจึงสามารถนำหลักฐานการบริจาคไปหักลดหย่อนได้เท่ากับจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว[1]

            2). กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคเป็นเงินหรือทรัพย์สินก็ได้ สามารถนำรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ[2]

            ผู้เขียนขอนำเสนอข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับมูลนิธิและโครงการต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นโดยลำดับดังนี้

           1. มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ (43) มีประวัติความเป็นมาดังนี้ [3]

            เมื่อคืนวันที่ 25 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2505 พายุโซนร้อน "แฮเรียต"พัดผ่านภาคใต้ยังความเสียหายให้เกิดแก่ 12 จังหวัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นห่วงผู้ประสบภัย อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ในขณะนั้นรับสนองพระบรมราชโองการให้เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย  

            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถานีวิทยุ อส.[4]ประกาศเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์และสิ่งของ โดยทรงรับและพระราชทานสิ่งของด้วยพระองค์เอง  นอกจากนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเงินให้กระทรวงศึกษาธิการ สร้างโรงเรียนประชาบาลที่ถูกพายุพัดพัง รวม 12 โรงเรียน และภายหลัง พระราชทานชื่อว่า "โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 ถึง 12" ตามลำดับ    

            ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ผู้เขียนเองได้มีโอกาสชมไฟล์ภาพยนตร์สั้น ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ตรัสถึงการพระราชทานสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ประชาชนเห็นกันทางโทรทัศน์ ล้วนมาจากพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น มิได้มีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาดำเนินการไปโดยลำพังตามระบบงาน จึงทำให้เห็นได้ว่าพระองค์ท่านทรงห่วงใยชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทรงคำนึงถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่กระทั่งในขณะที่พระองค์ทรงพระประชวร

          2. มูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ (49)[5]มีประวัติความเป็นมาดังนี้ [6]

         ในช่วงเวลาที่โลกมีความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองระหว่างประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยมีปัญหาความไม่สงบ ระบบคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอกประเทศ เข้ามาทำสงครามแย่งชิงประชาชน รัฐบาลในสมัยนั้นจัดให้มีการปราบปราม เกิดการสูญเสียชีวิตการบาดเจ็บพิการและความเดือดร้อน กระทบถึงราษฎร โดยทั่ว ๆ ไปอีกเป็นจำนวนมาก

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทรงห่วงใยในความทุกข์ของราษฎร จึงได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เยี่ยมผู้ปฏิบัติหน้าที่และในขณะเดียวกันก็ได้ทรงเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ครอบครัวผู้เสียสละเหล่านี้ ในงานพระราชทานเพลิงศพวีรชน ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารไต่ถามชีวิตความเป็นอยู่ นอกจากนี้ยังได้ทรงมีพระราชปรารภถึงผู้ที่อยู่ในเมืองว่า ควรสำนึกถึงความเสียสละอันใหญ่หลวงนี้ให้มาก บางคราวบุคคลเหล่านี้ต่อสู้จนร่างกายพิการไม่สามารถประกอบอาชีพได้เหมือนเดิม ประเทศชาตินั้นเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ บุคคลในชาติควรมีความรักสามัคคีและเห็นอกเห็นใจกัน เมื่อญาติพี่น้องส่วนหนึ่งทำหน้าที่ป้องกันประเทศชาติด้วยความกล้าหาญ จนต้องประสบชะตากรรมที่น่าสงสารเช่นนี้แล้ว พี่น้องส่วนหนึ่งควรเห็นอกเห็นใจร่วมทุกข์ช่วยเหลือเกื้อกูลเขาเหล่านั้น

         การตอบแทนจากเงินบำเหน็จและเงินช่วยเหลือจากทางราชการในขณะนั้นเป็นจำนวนเงินไม่มากนักและต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาเป็นเวลานาน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้สละชีพเพื่อประเทศชาติในทันที โดยเฉพาะราษฎรอาสาสมัครที่ได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพหรือเสียชีวิตจะไม่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ

 

            ในวันที่ 2 เมษายน 2518 พระองค์ท่านและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญทหาร  ตำรวจ ราษฎร อาสาสมัครอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศชาติ มารับพระราชทานเลี้ยง พร้อมกันนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญผู้มีจิตกุศลเป็นจำนวนมากมาร่วมในงานด้วย ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรก และร่วมสมทบโดยพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์และมีผู้มีจิตศรัทธาที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ประธานมูลนิธิ นับแต่นั้นเป็นต้นมา

            ผู้เขียนได้มีโอกาสชมไฟล์ภาพยนตร์สั้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสกับนักข่าวต่างประเทศ[7]ได้ทูลถามพระองค์ท่านขณะทรงเสด็จไปเป็นขวัญและกำลังใจผู้ที่ทำงานสร้างเขื่อนในพื้นที่ทุรกันดารในสมัยที่ประเทศไทยมีการต่อสู้กับพวกนิยมลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง โดยนักข่าวได้สอบถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสตอบนักข่าว ดังนี้

นักข่าว            : ท่านคิดว่าคอมมิวนิสต์จะคิดอย่างไรกับกรณีที่ท่านมาสร้างเขื่อน

รัชกาลที่ 9       : บางคนก็อาจจะพูดว่านี่คือโครงการปิศาจก็แล้วแต่ใครจะพูด

นักข่าว           : ถ้าไม่มีคอมมิวนิสต์ทางรัฐบาลและพระองค์ก็คงไม่มาทำโครงการนี้

รัชกาลที่ 9       : พวกท่านชอบถามแบบนี้ เรื่องนี้มันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว ถ้าไม่มีพวกเขา (คอมมิวนิสต์) ประเทศเราก็จะไม่มีปัญหาและเขื่อนนี้ก็อาจจะทำการก่อสร้างเสร็จไปนานแล้ว แต่ในเมื่อมีพวกเขาอยู่ที่นั่น เราก็ต้องยอมลำบากมาเยี่ยมเยือน เพราะคนที่ทำงานสร้างเขื่อนนี้ต้องการขวัญและกำลังใจ

นักข่าว           : สร้างเขื่อนแล้วท่านคิดว่าท่านจะชนะในการต่อสู้ใช่ไหม

รัชกาลที่ 9       : ชนะใคร ต่อสู้กับใคร

นักข่าว           : ก็พวกคอมมิวนิสต์

รัชกาลที่ 9       : ก็ไม่รู้สิ แต่เราชนะความอดอยากหิวโหยนี่คือสิ่งที่เราทำ เราไม่ได้ต่อสู้กับประชาชนเราต่อสู้กับความอดอยากหิวโหย เราปรารถนาให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าประชาชนเหล่านี้มีชีวิตที่ดีขึ้น พวกฝ่ายที่ท่านเรียกว่าคอมมิวนิสต์ ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเช่นกันทุก ๆ คนต่างก็จะมีความสุขทั้งหมด

            จากพระราชดำรัสดังกล่าวข้างต้น อาจจะพอช่วยให้ประชาชนที่เกิดไม่ทันในยุคนั้นได้รับรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรนี้ ไม่มีการยกเว้นหรือเลือกที่รักมักที่ชังแม้แต่ต่อบุคคลที่ไปเข้ากับฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งมีความคิดว่าพระองค์คือศัตรูของการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์

            นอกจากนี้ยังมีองค์การสถานสาธารณกุศลในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ

 

             สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประสงค์จะบริจาคทรัพย์สินหรือสินค้าให้แก่องค์การ สถานสาธารณกุศลดังกล่าวมาข้างต้น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคสามารถหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริจาคทรัพย์สินหรือสินค้า[8]อีกด้วย แต่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้บริจาคทรัพย์สินหรือสินค้าดังกล่าวจะไม่สามารถนำภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินหรือสินค้าเพื่อนำไปบริจาคมาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มนำส่งกรมสรรพากรได้ เพราะเป็นภาษีซื้อที่มิได้นำไปใช้ในกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม[9] แต่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคคลผู้บริจาคทรัพย์สินหรือสินค้าให้แก่องค์การสถานสาธารณกุศลดังที่กล่าวมาข้างต้นสามารถนำภาษีซื้อดังกล่าวไปหักเป็นรายจ่ายได้[10] เช่น บริจาคสิ่งของมูลค่าจำนวน 10,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 700 บาท บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวสามารถนำต้นทุนจำนวนรวม 10,700 บาทไปหักเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะได้ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลฯ[11]

             ดังนั้น หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประสงค์จะบริจาคให้แก่องค์การสถานสาธารณกุศล  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้บริจาคนั้นต้องไม่นำภาษีซื้อมาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มนำส่งกรมสรรพากร หากกระทำโดยถูกต้องแล้วกรณีจึงจะไม่ต้องถูกประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม และเบี้ยปรับเงินเพิ่มจากเจ้าหน้าที่สรรพากรแต่อย่างใด

             จากโครงการในพระราชดำริที่ได้ทรงริเริ่ม ที่กล่าวถึงมานั้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดในโครงการพระราชดำริทั้งหมด  4,596 โครงการ[12]ตลอด 70 ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ท่านไม่เคยที่มีพระราชดำริที่จะแบ่งแยกว่าประชาชนคนไหนเลือกหรือรักหรือบูชาพระองค์ท่านจึงจะได้รับการดูแลที่ดี  ส่วนผู้ที่ไม่เลือกไม่รักหรือไม่บูชาพระองค์ท่านจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป พระองค์ท่านไม่ทรงมีพระราชดำริในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทุกพระราชจริยวัตร ทุกพระราชดำริของพระองค์ท่านเป็นไปเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และเพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนในประเทศทุกคนอย่างแท้จริง โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อยกเว้น

              พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยประชาชนทุกหมู่เหล่านับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ในโอกาสนี้จึงขอน้อมรำลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นและขอทำหน้าที่ในฐานะพสกนิกรชาวไทย นำเสนอข้อมูลบางส่วนของโครงการในพระราชดำริและโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งได้จัดตั้งเป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ตลอดจนการใช้สิทธิประโยชน์ในทางภาษีจากการบริจาค ในกรณีที่พสกนิกรจะใช้โอกาสนี้ในการทำบุญอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล อีกทั้งเพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยต่อไป  

 

-------------------------------------------------




[1]ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (7)

[2]ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (3)

[3]สืบค้นจาก http://www.rajaprajanugroh.org/ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559

[4]อส. เป็นอักษรย่อของพระที่นั่งอัมพรสถานผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/U1HswD

[5]ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (7)(ข) ประกอบกับ ประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม เรื่อง กำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล และสถานศึกษาตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร  

[6]สืบค้นจาก http://www.saijaithai.or.th/ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2559

[7]สืบค้นจาก https://goo.gl/dKl2Ol เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2559

[8]ประมวลรัษฎากร มาตรา 81 (1) (น) ประกอบกับพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 239) พ.ศ.2534 มาตรา 3 (4) (ข)

[9]ประมวลรัษฎากร มาตรา 82/5 (6) ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (3)

[10]ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) ประกอบกับพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 243) พ.ศ.2534 มาตรา 3

[11]ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (3)

[12]สืบค้นจาก https://goo.gl/lA3iz1 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2559

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนพฤศจิกายน 2559

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

 

ฉบับที่ 71 เดือนพฤศจิกายน 2559

 

         น้ำตาชนร่ำไห้หลั่งทั่วแผ่นดิน
น้อมส่งองค์ภูมินทร์สู่ฟ้า
สิ้นแล้วมิ่งอมรินทร์ธ ท่านปกไทย
สูรย์ไม่สาดส่องหล้าดั่งฟ้าลาดิน

                                                                                                               พุทธิมา เกิดศิริ : ผู้ประพันธ์

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1.    หลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม

2.    ขยายเวลาจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี

 

ข่าวภาษี

1.    ครม.ไฟเขียวคลังแก้กฎหมายภาษีเงินได้ขายอสังหาริมทรัพย์

2.    คลังวางแผนเก็บภาษีเพิ่มจากเจ้าของที่ดิน หลังราคาพุ่งจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

3.    คลังมั่นใจ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ บังคับใช้ปี 60

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 2050/2559

ระหว่างบริษัท อ.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องค่าลิขสิทธิ์อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3)

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ค่าตอบแทนจากการให้บริการผลิตรถยนต์ต้นแบบฯ ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม

        ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 210) ได้เพิ่มเติมข้อความในข้อ 2 (22) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉบับที่ 40 โดยกำหนดให้ค่าตอบแทนที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับจากการให้บริการผลิตรถยนต์ต้นแบบ หรือรถจักรยานยนต์ต้นแบบที่ใช้เพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิตนั้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร

        หากผู้ประกอบการประสงค์จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการยกเว้นภาษีสรรพสามิตและการอนุมัติให้เป็นผู้วิจัยพัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์จากกรมสรรพสามิตมาแสดง

        ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/xVDScu  

2. ขยายเวลาจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี

        เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งที่ 65/2559 กำหนดขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 ซึ่งเมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่นแล้วรวมเป็นอัตราร้อยละ 7 ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2559 ถึง 30 กันยายน 2560

        ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/NJoUaW

        

ข่าวภาษี

1. ครม.เห็นชอบให้คลังแก้กฎหมายภาษีเงินได้ขายอสังหาริมทรัพย์

        เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เกี่ยวกับฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้ใช้ราคาที่ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามความเป็นจริง หรือราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเดิมใช้ราคาประเมินพียงเป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้ดังกล่าว 

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/oHiLm7

2. คลังวางแผนเก็บภาษีเพิ่มจากเจ้าของที่ดิน หลังราคาพุ่งจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

        ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่ากระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากส่วนต่างของราคาที่ดินที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ทั้งการลงทุนถนน มอเตอร์เวย์ ท่าเรือ สนามบิน หรือรถไฟต่างๆรวมไปถึงโครงการลงทุนผ่านงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ

        ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะจัดเก็บภาษีเจ้าของที่ดินซึ่งมีที่ดินสอดรับกับแผนการลงทุนของรัฐบาลมีการนำที่ดินมาหาผลประโยชน์ ทำให้ราคาที่ดินดังกล่าวมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยกระทรวงการคลังก็จะเข้าไปพิจารณาจัดเก็บภาษีจากส่วนต่างราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว

        นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนขึ้นในปี 2560

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/M8jW81

3. คลังมั่นใจ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ บังคับใช้ปี 60

        รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลังกล่าวในงานสัมมนา "ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่"จัดโดยคณะกรรมการกฎหมายภาษีและกฎระเบียบ หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่า ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ผ่านการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และมีการตั้งข้อสังเกตอยู่ 2-3 เรื่องที่จะต้องนำมาปรับปรุง ก่อนจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาในเร็วๆ นี้ จากนั้นจะมีการเสนอรัฐบาลเห็นชอบในส่วนของอัตราการจัดเก็บจริง ซึ่งคาดว่าจะสามารถมีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2560 พร้อมยืนยันว่าการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบกับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมีบ้านหลังแรกอย่างแน่นอน โดยการจัดเก็บภาษีหลักๆ จะอยู่ในกลุ่มที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเป็นหลัก

        ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/7jGdWS 

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 2050/2559

ระหว่างบริษัท อ.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องค่าลิขสิทธิ์อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3)

 

        โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักร โดยแยกรายการชิ้นส่วนของระบบตู้สาขาโทรศัพท์อัตโนมัติในใบขนสินค้าขาเข้าด้วยการแยกรายการแผ่นบันทึกข้อมูล FD (Software) และราคาออกจากอุปกรณ์อื่น แต่เนื่องจากแผ่นบันทึกข้อมูลดังกล่าวเป็นระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จำเป็นในการทำงานของเครื่องและใช้ได้กับเครื่องที่ระบุไว้เท่านั้น จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องควบคุมของระบบตู้สาขาโทรศัพท์อัตโนมัติ เพราะหากไม่มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานดังกล่าว ระบบตู้สาขาโทรศัพท์อัตโนมัติก็ไม่สามารถทำงานได้ และข้อเท็จจริงยังฟังได้อีกว่า การนำเข้าสินค้าพิพาทไม่ใช่การซื้อแบบแยกชิ้นเฉพาะส่วนที่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ แต่เป็นการซื้อสินค้าชนิดที่ต้องประกอบไปด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ซึ่งจำเป็นเฉพาะสินค้าชิ้นนั้น เพื่อสามารถใช้งานได้ในลักษณะที่ไม่สามารถแยกจากส่วนประกอบอื่นได้

        กรณีของโจทก์จึงไม่อาจฟังได้ว่า โจทก์นำเข้าระบบตู้สาขาโทรศัพท์อัตโนมัติจากผู้ผลิตในต่างประเทศ โดยแยกราคาโปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานออกจากโครงสร้างหลักให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ ที่จะถือเป็นค่าลิขสิทธิ์อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3) โจทก์จึงไม่มีหน้าที่หักภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 และไม่ถือว่าเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและมีการใช้บริการในราชอาณาจักร อันจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

        จากประเด็นข้างต้น กรมสรรพากรได้เคยวินิจฉัยตามหนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากรที่ กค 0706/1347 ว่าการซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ติดมากับเครื่องจักรอุปกรณ์ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะควบคุมเครื่องจักรอุปกรณ์ให้ทำงานได้ หากมีการเรียกเก็บราคาค่าเครื่องจักรอุปกรณ์แยกต่างหากจากค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผู้จ่ายเงินต้องหักภาษีสำหรับการจ่ายค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์เนื่องจากเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่อย่างใด

        ผู้เขียนเห็นพ้องกับศาลฎีกาในประเด็นที่ว่าในกรณีที่มีการซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์พร้อมโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยมีลักษณะการใช้งานอย่างสินค้าสำเร็จรูป (Complete Set) ทำนองเดียวกับการซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในโรงงานโดยทั่วไป และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่ควบคุมให้เครื่องจักรอุปกรณ์หลักใช้งานได้ โดยไม่สามารถนำไปใช้กับเครื่องจักรอุปกรณ์อื่นได้ ถือว่าโปรแกรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรอุปกรณ์ แม้จะมีการแยกราคาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ออกจากราคาเครื่องจักรอุปกรณ์ ก็ไม่ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (3) อันอยู่ในบังคับต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อการซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์พร้อมโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวมีลักษณะเช่นเดียวกับการซื้อสินค้าทั่วไป จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและมีการใช้บริการในราชอาณาจักร อันจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร

        ดังนั้น กรมสรรพากรจึงควรกำหนดทางปฏิบัติในการแนะนำเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาว่าโปรแกรมพื้นฐานของเครื่องจักรอุปกรณ์ ไม่ถือเป็นค่าแห่งลิขสิทธิ์อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (3) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว

 นางสาวผกามาศ สงวนราษฎร์

 

        หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, chatwaleem [at] dlo.co.th

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

 

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

 

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

 

 

 

 

ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการทางภาษีสนับสนุนการจ้างงาน "ผู้สูงอายุ"

$
0
0
มนตรี อัจฉริยสกุลชัย
            เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

            1. มาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการจ้างงานผู้สูงอายุ  โดยส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา

            2. มาตรการการสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Complex) โดยให้กระทรวงการคลังไปหารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทยต่อไป

            3. มาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ  (Reverse Mortgage)

            4. หลักการให้มีการออมภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ      

          สำหรับมาตรการทางด้านภาษีอากรนั้นมีรายละเอียดเบื้องต้นว่า จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นายจ้างโดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หักรายจ่ายได้  2 เท่าของรายจ่ายประเภทเงินเดือนและค่าจ้างสำหรับการจ้างบุคลากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป) ซึ่งมีอัตราค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 โดยนายจ้างสามารถขอใช้สิทธิได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด โดยลูกจ้างนั้นจะต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการ กรรมการ ผู้บริหาร หรือเคยเป็นผู้บริหารของกิจการ 

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/8e9KY5
           (ที่มา มติการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 หัวข้อ กฎหมาย เรื่องที่ 1. เรื่อง มาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ (ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. ...  ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. ... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...)

ข่าวล่าสุด! หักค่าลดหย่อนท่องเที่ยวได้เพิ่มอีก 15,000 ในเดือนธันวาคม 59 นี้

$
0
0
Chatwalee Maitri

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอให้ เพิ่มเติมค่าลดหย่อนสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศในวันที่ 1 ธ.ค. 2559 – 31 ธ.ค. 2559 อีก โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าลดหย่อนค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท

 ทั้งนี้ เมื่อรวมกับสิทธิหักค่าลดหย่อนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศตามกฎกระทรวงฉบับที่ 316 (พ.ศ. 2559) ต้องไม่เกิน 30,000 บาท

 ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนธันวาคม 2559

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

 

ฉบับที่ 72 เดือนธันวาคม 2559

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าบริการหรือค่าที่พักในการท่องเที่ยวปลายปี 2559

 

ข่าวภาษี

1.    “คลัง” วางแผนจัดเก็บภาษีเจ้าของที่ดินที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล

2.    มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์

3.    ค่าจ้างผู้สูงอายุ หักรายจ่ายได้ 2 เท่า

4.   เลื่อนแผนเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ คาดบังคับใช้ในปี 2561

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 5150/2559

ระหว่างบริษัท ส.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าบริการหรือค่าที่พักในการท่องเที่ยวปลายปี 2559

            ตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 322 (พ.ศ.2559) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 280) กำหนดให้ยกเว้นเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พัก สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศที่ได้จ่ายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึง 31 ธันวาคม 2559 โดยมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

            1)  กรณีโสด ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท

            2)  กรณีมีคู่สมรส

                   -  มีเงินได้ฝ่ายเดียว ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท

                   -  ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ แต่ละฝ่ายได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท

            3)  ผู้มีเงินได้ต้องเป็นผู้จ่ายค่าบริการหรือค่าที่พัก เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวของตนเอง

            4)  มีหลักฐานการรับเงินจากผู้ประกอบการดังกล่าว โดยระบุชื่อผู้มีเงินได้ จำนวนเงิน และวัน เดือน ปี ที่จ่ายเงิน

            ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/d8bbWjและ https://goo.gl/SgYE65

 

ข่าวภาษี

1. “คลัง” วางแผนจัดเก็บภาษีเจ้าของที่ดินที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล

            ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากเจ้าของที่ดินที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เช่น การลงทุนถนน มอเตอร์เวย์ ท่าเรือ สนามบิน รถไฟ ฯลฯ โดยจะจัดเก็บภาษีเมื่อเจ้าของที่ดินนำที่ดินดังกล่าวออกขาย หรือหาผลประโยชน์อื่นๆ ซึ่งคาดว่าภายในปีงบประมาณ 2560 จะได้ข้อสรุปทั้งหมด

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐบาลประกาศกำหนดต่อไป          

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/KSIapK

2. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์

            เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ครม. มีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรฯ (ฉบับที่...) พ.ศ.... เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ กรณีลงทุนในเครื่องชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้

                  1) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์

                  2) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิตผ่านอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐบาลประกาศกำหนดต่อไป

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/BWBcKE

3. ค่าจ้างผู้สูงอายุ หักรายจ่ายได้ 2 เท่า

            เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ครม. มีมติเห็นชอบและอนุมัติหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรฯ (ฉบับที่...) พ.ศ.... เพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยกำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นายจ้างซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สามารถนำรายจ่ายประเภทเงินเดือนและค่าจ้างของลูกจ้างที่เป็นผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป)  มาหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ซึ่งต้องมีอัตราค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 โดยนายจ้างขอใช้สิทธิได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด

            อย่างไรก็ตาม ลูกจ้างดังกล่าวต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการ กรรมการ ผู้บริหาร หรือเคยเป็นผู้บริหารของกิจการ

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/ujjssp

4. เลื่อนแผนเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ คาดบังคับใช้ในปี 2561

            รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่นั้น ไม่สามารถเริ่มใช้บังคับได้ในปี 2560 ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่จะเร่งผลักดันกฎหมายดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ได้ประมาณปี 2561

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/h24b9o      

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 5150/2559

ระหว่างบริษัท ส.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร

 

            โจทก์ไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์ยื่นหลังจากที่โจทก์ได้รับหมายเรียก การที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ส่งมอบบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นไม่ครบถ้วนเพียงพอต่อการตรวจสอบนั้น ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยที่ว่า จำเลยได้นำผลการตรวจสอบด้านรายได้ ด้านรายจ่าย ภาษีที่ต้องชำระเพิ่มเติม ปรับปรุงกำไรสุทธิที่โจทก์ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ไว้แล้ว และสามารถคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์จากยอดกำไรสุทธิได้ ดังนั้น เจ้าพนักงานประเมินให้โจทก์เสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชี ตามประมวลรัษฎากร ตามมาตรา 71(1) จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ควร การประเมินภาษี ของเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

            คำพิพากษาข้างต้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักร่ายจ่ายใด ๆ มาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ยื่นรายการที่จำเป็นในการคำนวณภาษีหรือมิได้ทำบัญชี หรือทำไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 17 และมาตรา 68 ทวิ หรือไม่นำส่ง เอกสาร หรือหลักฐานอื่น ตามมาตรา 23 อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถคำนวณหากำไรสุทธิตามมาตรา 24 แห่งประมวลรัษฎากร ได้

            แม้โจทก์จะมิได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ภายในกำหนด แต่เมื่อโจทก์ได้รับหมายเรียกแล้ว ได้ดำเนินการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 พร้อมกับส่งมอบบัญชีเอกสารและหลักฐานอื่น ๆ ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินอ้างว่า บัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นไม่เพียงพอต่อการตรวจสอบนั้น แต่กลับปรากฏว่า เจ้าพนักงานประเมินสามารถคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์จากยอดกำไรสุทธิที่โจทก์ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ดังกล่าวไว้ได้

            ผู้เขียนเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษา เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงในคำให้การว่า จำเลยตรวจสอบรายได้รายจ่าย ภาษีที่ต้องชำระเพิ่มเติมและปรับปรุงกำไรที่โจทก์ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ไว้ เจ้าพนักงานจึงไม่สามารถประเมินภาษีจากยอดขายโดยอ้างว่าโจทก์ไม่ส่งเอกสารหรือส่งไม่ครบถ้วนซึ่งเป็นเหตุให้ประเมินภาษีตามมาตรา 71(1) ได้ ดังนั้น การที่ศาลมีคำสั่งให้พนักงานประเมินทำการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคลของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีพิพาทจากกำไรสุทธิของกิจการตามมาตรา 24 ประกอบมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร คำพิพากษาดังกล่าวจึงชอบแล้ว

 

นายราชศักดิ์ กุลกัลยา

 

            หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, sureelukt [at] dlo.co.th

 

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

 

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

 

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

 

 

 

 

 

 

 

 

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนมกราคม 2560

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

 

ฉบับที่ 73 เดือนมกราคม 2560

 

         พรปีใหม่ ธ พระราชทานยังเกริกก้องหวนตรึกตรองตามครรลองเพียรยึดถือ
เจ็ดสิบปีพระราชกรณียกิจบันลือจุดหมายคือเพื่ออาณาประชาไทย
คำสอนพ่อเปรียบให้เบ็ดไปตกปลาไม่พึ่งพาเพียงผู้อื่นไร้จุดหมาย
สอนให้รู้จักพอเพียงเลี้ยงชีพกายน้อมรับไว้จะใส่เกล้าฯ เท่าชีวี
         พ้นปีเก่าเศร้าวิโยคโศกกำสรดทุกข์ทั้งหมดจงผ่านพ้นพลันสดใส
ความสูญเสียมลายสิ้นจากถิ่นไทยพบปีใหม่ขอท่านได้ในสิ่งดี
ความรุ่งเรืองจงประเทืองท่านถ้วนหน้าพระรัตนาพลันบันดาลท่านสุขศรี
สวัสดิผลขจรเกียรติเท่าทวีให้ท่านมีแต่ความสุขทุกวันเทอญ

                                                                                                                                                พุทธิมา เกิดศิริ : ประพันธ์

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1.     ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการภายในประเทศปลายปี 2559

2.     แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรว่าด้วย เงินได้จากจากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย

 

ข่าวภาษี

1.     สนช. มีมติเห็นชอบ ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2.     ครม. อนุมัติให้นำราคาปานกลางของที่ดินประจำปี พ.ศ. 2521 – 2524 มาใช้ในปี พ.ศ.2560 เป็นต้นไป

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 2050/2559

ระหว่างบริษัท อ.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเพิ่มทุน

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการภายในประเทศปลายปี 2559

                ตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 323 (พ.ศ.2559) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 282) กำหนดให้ยกเว้นเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในประเทศที่ได้จ่ายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2559  ถึง 31 ธันวาคม 2559 โดยไม่รวมค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ดังนี้ ค่าซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ ค่าซื้อน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมพาหนะ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าบริการนำเที่ยว และค่าที่พักในโรงแรม

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

                โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/DbLbu3และ https://goo.gl/P5vfKXและ https://goo.gl/L8Crks

2. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรว่าด้วย เงินได้จากจากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย

                ตามที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (26) ว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรมนั้น

                เดิมประมวลรัษฎากรบัญญัติยกเว้นเงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดอื่น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการตีความ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน จึงมีการออกพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 43) พ.ศ. 2559 ให้ยกเลิกความใน (26) ของมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

                “(26) เงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม เฉพาะเงินได้จากการโอนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายนั้น ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทต่อบุตรหนึ่งคนตลอดปีภาษีนั้น”

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/3PCW5v

 

ข่าวภาษี

1. สนช. มีมติเห็นชอบ ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

                เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เพื่อปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้

                1. ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ 60,000 บาท

                2. ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสที่มีเงินได้ 60,000 บาท

                3. ค่าลดหย่อนสำหรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ คนละ 30,000 บาท ค่าลดหย่อนบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้ คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน

                4. กรณีผู้มีเงินได้เป็นกองมรดก ให้หักลดหย่อนได้ 600,000 บาท

                5. กรณีผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ให้หักลดหย่อนได้ สำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละคน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท       

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป          

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/Ekkuzlและ https://goo.gl/m9Yzu3

2. ครม. อนุมัติให้นำราคาปานกลางของที่ดินประจำปี พ.ศ. 2521 – 2524 เพื่อประเมินภาษีบำรุงท้องที่

                เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. ... เพื่อให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2559 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2560 และปีต่อไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/pjrwxf

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 2050/2559

ระหว่างบริษัท อ.โจทก์
กับกรมสรรพากรจำเลย
เรื่องส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเพิ่มทุน

 

                เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าในรอบระยะเวลาบัญชีพิพาท โจทก์จดทะเบียนเพิ่มทุนโดยออกหุ้นบุริมสิทธิใหม่ 1 หุ้น มีมูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท และมีส่วนเกินมูลค่าหุ้น 409,999,000 บาท แต่ในขณะที่โจทก์ออกหุ้นเพิ่มทุนนั้นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโจทก์อยู่ที่ 40.36 ต่อ 1 และโจทก์มีผลขาดทุนสะสมสูงถึง 294,720,792 บาท แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า มีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากผลการประกอบการหรือตัวเลขทางบัญชี เช่น ค่าความนิยม ชื่อทางการค้า โนว์ฮาว (Know-how) เทคโนโลยี ความเจริญเติบโตและความก้าวหน้าในอนาคต ฯลฯ อันเป็นตัวกำหนดมูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นสำหรับหุ้นของโจทก์ในขณะที่มีการเพิ่มทุนตามที่โจทก์อุทธรณ์ การที่โจทก์ออกหุ้นเพิ่มทุนที่มีมูลค่าดังกล่าวไม่มีเหตุเชื่อได้ว่า การออกหุ้นเพิ่มทุนโดยออกหุ้นบุริมสิทธิใหม่ 1 หุ้น มีมูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท และมีส่วนเกินมูลค่าหุ้น 409,999,000 บาทในขณะเพิ่มทุน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

                ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินส่วนเกินมูลค่าหุ้นเป็นเงินให้เปล่า เงินอุดหนุน หรือเงินช่วยเหลือ อันเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงชอบแล้ว

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

                จากกรณีคำพิพากษาฎีกาข้างต้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่บริษัทได้รับเนื่องจากการขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นสูงกว่าราคาหุ้นที่ปรากฏในใบหุ้น ซึ่งโดยหลักแล้วเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการเพิ่มทุนนั้น ถือเป็นส่วนของทุนไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่ทั้งนี้เงินส่วนต่างดังกล่าวจะต้องไม่มีลักษณะเป็นนิติกรรมอำพราง เงินกินเปล่า เงินอุดหนุน หรือเงินช่วยเหลืออื่นใด และการกำหนดราคาหุ้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของมูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็น หรือสภาพกิจการ ณ ขณะที่มีการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุน นอกจากนี้ยังมีแนววินิจฉัยของกรมสรรพากรว่า ราคาส่วนเกินกว่ามูลค่าหุ้นที่เกินกว่าความเป็นจริงอาจถือเป็นเงินได้ของบริษัทผู้ออกหุ้นเพิ่มทุน เทียบเคียงหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรที่ กค 0702/3214 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2551

                ข้อเท็จจริงได้ความว่าบริษัทออกหุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้นมีมูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท และมีส่วนเกินมูลค่าหุ้น 409,999,000 บาท ซึ่งในขณะที่บริษัทมีผลขาดทุนสะสมอยู่ประมาณ 294 ล้านบาท เมื่อบริษัทนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นไปล้างขาดทุนสะสมทั้งหมด ก็จะทำให้เหลือเงินอยู่ประมาณ 115 ล้านบาท โดยเงินส่วนที่เหลือดังกล่าวบริษัทไม่ได้นำไปลงทุนเพื่อแสวงกำไรจากการประกอบกิจการ แต่กลับนำไปฝากไว้กับธนาคาร

                ผู้เขียนมีความเห็นว่า การจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนที่มีส่วนเกินมูลค่าหุ้น เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่องให้แก่กิจการก็ดี หรือล้างผลขาดทุนสะสมก็ดี หากมีเงินเหลือจากธุรกรรมดังกล่าว บริษัทอาจพิจารณานำเงินส่วนที่เหลือนั้นไปลงทุนเพื่อแสวงหากำไรจากการประกอบกิจการที่เหมาะสมเพื่อชี้ให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงว่าไม่ได้เป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงการเสียภาษี หากบริษัทไม่ได้นำเงินส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่เหลือนั้นไปลงทุนเพื่อแสวงหากำไรจากการประกอบกิจการแล้ว กรมสรรพากรอาจถือว่าส่วนต่างดังกล่าวเป็นเงินได้ที่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้การเรียกเก็บส่วนต่างมูลค่าหุ้นย่อมต้องมีเหตุผลและข้อมูลทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือรองรับด้วย

นายธนินท์รัฐ เหลืองถาวรพจน์

 

                หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, chatwaleem [at] dlo.co.th

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

 

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

 

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

 

 

 

 

ขยายเวลารายจ่ายลงทุน (เดิมหักเพิ่มได้ 2 เท่า เหลือ 1.5 เท่า) อีก 1 ปี

$
0
0
Budhima Kerdsiri

     ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 เห็นชอบขยายเวลามาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศตามที่กระทรวงการคลังเสนอออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560

     โดยมีการปรับเงื่อนไขบางส่วนในเรื่องของจำนวนการหักรายจ่ายจากเดิม 2 เท่า เหลือ 1.5 เท่า นั้น นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า “มาตรการภาษีดังกล่าวเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีทำนองเดียวกับสิทธิประโยชน์ที่ได้ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นมาตรการภาษีของเดิมที่สิ้นสุดไปแล้ว

มาตรการภาษีนี้เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคลสำหรับรายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อการลงทุนในทรัพย์สิน โดยให้หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า ให้แก่บริษัทที่มีการจ่ายเงินลงทุนในทรัพย์สินประเภท

     - เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์

     - โปรแกรมคอมพิวเตอร์

     - ยานพาหนะที่มิใช่รถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง

     - อาคารถาวรแต่ไม่รวมที่ดินและที่อยู่อาศัย

ทรัพย์สินที่จะนำมาหักรายจ่าย 1.5 เท่าตามมาตรการภาษีนี้ จะต้องเป็น

     - ทรัพย์สินใหม่ที่มีการจ่ายเงินลงทุนในปี 2560 และพร้อมใช้งานภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เว้นแต่เครื่องจักรและอาคารถาวรจะพร้อมใช้งานหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ก็ได้

     - กรณีที่เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้สิทธิหักรายจ่าย 2 เท่าตามมาตรการภาษีของเดิมที่สิ้นสุดไปแล้ว แต่ยังจ่ายเงินลงทุนไม่ครบถ้วนและมาจ่ายต่อในปี 2560 ก็ได้รับสิทธิหักรายจ่าย 1.5 เท่าตามมาตรการภาษีนี้ได้ ทั้งนี้ ต้องมีการจัดทำโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงินให้กรมสรรพากรทราบด้วย

ที่มา : กรมสรรพากร


การหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และอัตราภาษีใหม่ล่าสุด! (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา)

$
0
0
Chatwaleem Maitree

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 และพระราชกฤษฎีกาาฯ (ฉบับที่ 629) พ.ศ. 2560

การหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน และอัตราภาษี ในปี 2560 มีการเปลี่ยนแปลงตามกฎหมายใหม่ ดังนี้

1. การหักค่าใช้จ่าย


 

2. การหักค่าลดหย่อน

3. อัตราภาษีใหม่!

4. เงินได้ที่อยู่ในเกณฑ์ต้องยื่นแบบ

ที่มา: :  http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/012/33.PDFและ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/012/23.PDF

 

 

 

ตั้ง New Start-up ได้รับยกเว้นภาษีสุดคุ้ม!

$
0
0
Chatwalee Maitree

พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560

1. สำหรับบุคคลธรรมดาที่โอนทรัพย์สินให้แก่ New Start-up จะได้รับการการยกเว้นภาษีเงินได้บุุคคลธรรมดา / ภาษีมูลค่าเพิ่ม / ภาษีธุรกิจเฉพาะ / อากรแสตมป์ โดยมีเงิื่อนไขดังนี้ 

     1.1 จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 - 31 ธันวาคม 2560 และ

     1.2 โอนทรัพย์สินให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามข้อ 1. โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญ ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 - 31 ธันวาคม 2560

2. New Start-up  SMEsจะได้รับการยกเว้นเงินได้จากรายจ่ายค่าจดทะเบียนจัดตั้ง ค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชี โดยหักเป็นรายจ่ายได้เพิ่มอีก 1 เท่า เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี โดยมีเงิื่อนไขดังนี้ 

     2.1 จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 - 31 ธันวาคม 2560 และ

     2.2 ทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 5,000,000 บาท และมีรายไดhจากการขายสินค้าและให้บริการไม่เกิน 30,000,000 บาท และ

     2.3 เป็นรายจ่ายที่เกิดจากการรจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ค่าทำบัญชี และค่าสอบบัญชี  

ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา

ขยายเวลา !!! รายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ เพิ่มอีก 1 ปี หักรายจ่ายได้อีก 50% (1.5 เท่า)

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนกุมภาพันธ์ 2560

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

 

ฉบับที่ 74 เดือนกุมภาพันธ์ 2560

                                               

กฎหมายใหม่ล่าสุด

                1. สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีนิติบุคคลในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจ่ายเงินเพื่อการลงทุน

                2. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ SME ที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ

                3. ยกเว้นเงินได้จากเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ

 

ข่าวภาษี

                1. สรรพากรไม่บังคับทำพร้อมเพย์ ยังจ่ายเช็คคืนภาษีตามปกติ

                2. สรรพากรชี้แจงมาตรการภาษียกเว้นเงินได้สำหรับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

                3. สรรพากรชี้แจงมาตรการหักลดหย่อนภาษีในกรณีค่าซ่อมบ้านและรถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วม

                4. สรรพากรชี้แจงขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อการลงทุน

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

                คำพิพากษาฎีกาที่ 4862/2559

                ระหว่าง                    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.                                             โจทก์

                กับ                          กรมสรรพากร                                                      จำเลย

                เรื่อง                       การออกใบกำกับภาษีเนื่องจากการโอนสินค้าจากสำนักงานใหญ่ให้แก่สาขา

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีนิติบุคคลในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจ่ายเงินเพื่อการลงทุน

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 626) พ.ศ.2560 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนหรือต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา) แต่ต้องไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม เป็นจำนวน 100% (1 เท่า) ของรายจ่ายนั้นโดยต้องเป็นรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563

                ทั้งนี้ ลักษณะทรัพย์สิน หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่จะได้รับยกเว้นต้องเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ และที่อธิบดีประกาศกำหนด

                ติดตามรายละเอียดได้จาก  https://goo.gl/9oiuHZ

2. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ SME ที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 627) พ.ศ.2560 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา) เท่านั้นเป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

                1)   ต้องจดทะเบียนตั้งนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท

                2)   มีรายได้จากกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือเกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมดในรอบระยะเวลาบัญชี

                3)   ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร

                4)   ไม่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

                ติดตามรายละเอียดได้จาก  https://goo.gl/zAJrQ9และ https://goo.gl/GNJ2kf

3. ยกเว้นเงินได้จากเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวม เพื่อการเลี้ยงชีพ

                กฎกระทรวงฉบับที่ 324 (พ.ศ.2560) แก้ไขเพิ่มเติมการยกเว้นเงินได้ในข้อ 2 (92) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) เพื่อกำหนดให้ยกเว้นเงินได้จากเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่บุคคลธรรมดาได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป โดยหน่วยลงทุนดังกล่าวต้องเป็นหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ได้จากการโอน หรือเกี่ยวเนื่องจากการโอนมาจากกองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ขายหน่วยลงทุนนั้นเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบห้าปีบริบูรณ์และมีระยะเวลาการเป็น สมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพกับระยะเวลาถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หรือทุพพลภาพหรือตาย

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/lQe1jC

 

ข่าวภาษี

1. สรรพากรไม่บังคับทำพร้อมเพย์ ยังจ่ายเช็คคืนภาษีตามปกติ

                สรรพากรชี้แจงไม่บังคับให้ประชาชนสมัครพร้อมเพย์เพื่อรับเงินภาษีคืน แต่เพื่อให้ได้รับเงินภาษีคืนอย่างรวดเร็ว สรรพากรจะโอนเงินภาษีคืนผ่านระบบพร้อมเพย์ก่อน หลังจากนั้นจึงจะจ่ายเป็นเช็คคืนภาษีให้แก่ประชาชนที่ไม่ได้สมัครพร้อมเพย์

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/9sALpa

2. สรรพากรชี้แจงมาตรการภาษียกเว้นเงินได้สำหรับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

                ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมทางภาคใต้ โดยให้สิทธิผู้บริจาคสามารถนำเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่ได้บริจาคในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2560 มาหักเป็นค่าลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้ 1.5 เท่า โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบื้องต้น ดังต่อไปนี้

                1) บุคคลธรรมดา ต้องบริจาคเป็นเงินเท่านั้น

                2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล บริจาคเป็นเงินหรือทรัพย์สินก็ได้

                3) ต้องมีหลักฐานการรับบริจาคในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2560 โดยระบุว่าเป็นโครงการหรือการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ และอาจระบุช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัย หรือหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในช่วงเวลาดังกล่าว   

                ทั้งนี้ โปรดติดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป 

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/YzDokb

3. สรรพากรชี้แจงมาตรการหักลดหย่อนภาษีในกรณีค่าซ่อมบ้านและรถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วม

                ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ในระหว่างวันที่ 1   ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 โดยให้สิทธิผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีค่าซ่อมบ้านตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และค่าซ่อมรถยนต์ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาทตามที่กรมสรรพากรได้ออกหนังสือแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดดังกล่าว

                ทั้งนี้ โปรดติดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป 

                ติดตามรายละเอียดได้จาก  https://goo.gl/VSRTxQและ https://goo.gl/mA98tN

4. สรรพากรชี้แจงขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อการลงทุน

                ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 กำหนดให้หักรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน ต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ แต่ต้องไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมได้เพิ่มอีก 1 เท่า (รวมเป็น 2 เท่า) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 นั้น

                ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายเวลามาตรการภาษีดังกล่าวออกไปอีก 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2560 โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขบางส่วน เช่น สิทธิในการหักรายจ่ายจากเดิมหักได้ 1 เท่า (รวมเป็น 2 เท่า) เหลือ 0.5 เท่า (รวมเป็น 1.5 เท่า) เท่านั้น

                ทั้งนี้ โปรดติดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป 

                ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/A1JYu5และ https://goo.gl/Vko6P7

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

                คำพิพากษาฎีกาที่ 4862/2559

                ระหว่าง                    ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.                                             โจทก์

                กับ                          กรมสรรพากร                                                      จำเลย

                เรื่อง                       การออกใบกำกับภาษีเนื่องจากการโอนสินค้าจากสำนักงานใหญ่ให้แก่สาขา

 

                โจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีสถานประกอบการสองแห่ง คือ สำนักงานใหญ่ และสาขา เมื่อโจทก์โอนน้ำมันจากสำนักงานใหญ่ไปยังสาขา สำนักงานใหญ่ออกใบกำกับภาษีขายให้แก่สาขา โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม และสาขานำใบกำกับภาษีที่ได้รับไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย

                ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 82/3 ประกอบมาตรา 77/1 (5) (17) และ (18) กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยการคำนวณภาษีซื้อหักภาษีขายตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ต้องมีสถานะเป็นบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลตามมาตรา 77/1 (1) ซึ่งภาษีซื้อและภาษีขายต้องเกิดจากการขายระหว่างผู้ประกอบการกับบุคคลอื่นตามมาตรา 77/1 (17) และ (18) เมื่อสำนักงานใหญ่และสาขาต่างมีฐานะเป็นบุคคลเดียวกัน การโอนน้ำมันจากสำนักงานใหญ่ไปยังสาขาจึงเป็นเพียงการจัดการภายในของโจทก์เอง ไม่ถือเป็นการขายตามมาตรา 77/1 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

                ดังนั้น เมื่อสำนักงานใหญ่ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออกตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร และสาขานำใบกำกับภาษีไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร จึงถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (5) แห่งประมวลรัษฎากร

 

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

                จากคำพิพากษาฎีกาข้างต้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีโดยผู้ไม่มีสิทธิออก ซึ่งมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร ห้ามมิให้นำภาษีซื้อซึ่งออกโดยผู้ไม่มีสิทธิออกมาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้เขียนเห็นพ้องกับศาลฎีกาในกรณีที่มีการโอนสินค้าจากสำนักงานใหญ่ให้แก่สาขา ถือว่าเป็นเพียงการจัดการภายในของนิติบุคคล สำนักงานใหญ่จึงไม่มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้แก่สาขา เพราะถือเป็นเป็นนิติบุคคลเดียวกันตามประมวลรัษฎากร นอกจากนี้หากให้มีการออกใบกำกับภาษีระหว่างสำนักงานใหญ่และสาขาได้ ก็อาจจะเกิดกรณีโยกย้ายภาษีซื้อและภาษีขาย เพื่อให้แต่ละสถานประกอบการเสียภาษีลดลงหรือมากขึ้นตามแต่ใจของผู้ประกอบการ ทั้งที่เป็นกิจการเดียวกัน เมื่อสำนักงานใหญ่เป็นผู้ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีตามมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร และสาขานำใบกำกับดังกล่าวไปใช้เป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงถือเป็นการแจ้งยอดภาษีซื้อไว้เกิน ทำให้สาขาต้องรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 86/13 ประกอบมาตรา 88/1 แห่งประมวลรัษฎากร

                ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าในการออกใบกำกับภาษี ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีแนวทางปฏิบัติในการออกใบกำกับภาษีตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.86/2542 เพื่อจะสามารถนำใบกำกับภาษีที่ได้รับไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ และทำให้ผู้ประกอบการลดความเสี่ยงที่จะต้องถูกประเมินภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีกด้วย

ผกามาศ สงวนราษฎร์

 

                หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, sureelukt [at] dlo.co.th

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

สุนทรี จุงเลียก

+662 680-9753

soontreej [at] dlo.co.th

ราชศักดิ์ กุลกัลยา

+662 680-9708

ratchasakk [at] dlo.co.th

ชัยศิริ ลิ่วสัมฤทธิ์

+662 680-9708

chaisiril [at] dlo.co.th

 

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนมีนาคม 2560

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’S Tax Newsletter

 

ฉบับที่ 75 เดือนมีนาคม 2560

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560

2. มาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล

3. มาตรการภาษีสำหรับนิติบุคคล เมื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท

4. แก้ไขอัตราการหักค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมดา สำหรับค่าแห่งกู๊ดวิลล์หรือสิทธิอย่างอื่น

5. ขยายเวลามาตรการภาษี สำหรับการแปรสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

6. ขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ SMEs ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย

7. ยกเว้นเงินได้สำหรับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

8. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปรวมครั้งเดียว

9. สรรพากร ออกระเบียบเกี่ยวกับระบบ E – Tax Invoice by Email

 

ข่าวภาษี

ครม. อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงให้มาทำงานในไทย

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

                คำพิพากษาฎีกาที่ 1485/2559

                ระหว่าง                 นาย จ.                                                               โจทก์

                กับ                       กรมสรรพากร                                                      จำเลย

                เรื่อง                    การยกที่ดินให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

 

 

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560

                พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 และพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 629) พ.ศ.2560 แก้ไขเพิ่มเติมโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหักค่าลดหย่อน การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นแบบสำหรับบุคคลธรรมดา และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปี 2560 และต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2561 เป็นต้นไป   

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/RPYlrr, https://goo.gl/vJLrS0, https://goo.gl/zCoj2f

2. มาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 630) พ.ศ.2560 ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ เนื่องจากการแปรสภาพธุรกิจจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลให้แก่บุคคลธรรมดา (ผู้โอน) และนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (ผู้รับโอน) โดยนิติบุคคลดังกล่าวต้องจดทะเบียนจัดตั้งในระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560                            

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/ETa9vV

3. มาตรการภาษีสำหรับนิติบุคคล เมื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 632) พ.ศ. 2560 ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายในการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบทเป็นจำนวน 2 เท่า ของรายจ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายจัดให้มีระบบไฟฟ้าหรือน้ำประปา เป็นต้น และต่อมาได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เกิดจากการลงทุนดังกล่าวโดยไม่มีค่าตอบแทน ให้แก่ส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2561

                นอกจากนี้ นิติบุคคลดังกล่าวยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินหรือการขายสินค้า หรือกระทำตราสาร เนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เกิดจากการลงทุนดังกล่าวข้างต้นในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่ส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยนิติบุคคล (ผู้โอน) จะต้องไม่นำต้นทุนของทรัพย์สินหรือสินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีดังกล่าวมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/L5wGaJ

4. แก้ไขอัตราการหักค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมดา สำหรับค่าแห่งกู๊ดวิลล์หรือสิทธิอย่างอื่น

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 634) พ.ศ.2560 แก้ไขเพิ่มเติมโดยกำหนดให้บุคคลธรรมดาซึ่งมีเงินได้จากค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 แต่รวมกันต้องไม่เกิน 100,000 บาท นอกจากนี้ยังให้สิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงได้ โดยต้องมีหลักฐานพิสูจน์ต่อเจ้าพนักงานสรรพากร ซึ่งเดิมเฉพาะค่าแห่งลิขสิทธิ์เท่านั้นที่สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท และไม่มีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงแต่ค่าแห่งกู๊ดวิลล์และค่าสิทธิอย่างอื่นไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้             

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/IRNq8G

5. ขยายเวลามาตรการภาษี สำหรับการแปรสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 635) พ.ศ. 2560 ขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เมื่อได้รับเงินได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นใบทรัสต์ และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการแปรสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ซึ่งเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559                      

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://goo.gl/lyFLrxและ https://goo.gl/v0WRF5

6. ขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ SMEs ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 637) พ.ศ.2560 ขยายเวลาการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคล ที่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการจากกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งเดิมจะต้องจดทะเบียนจัดตั้งในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 เป็นจดทะเบียนจัดตั้งภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก  https://goo.gl/zAJrQ9และ https://goo.gl/dDAIvO

7. ยกเว้นเงินได้สำหรับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

                พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 638) พ.ศ.2560 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยให้สิทธิผู้บริจาคสามารถนำเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่ได้บริจาคในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2560 มาหักเป็นค่าลดหย่อนหรือหักรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้เพิ่มอีกเป็นจำนวนร้อยละ 50 ของเงินที่บริจาคหรือราคาทรัพย์สินที่บริจาค   

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายประกาศกำหนด

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก  https://goo.gl/bI3mPj

8. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปรวมครั้งเดียว

                คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.155/2560 แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.86/2542 เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้า หรือให้บริการพร้อมการชำระค่าบริการที่ขายสินค้าหรือให้บริการชนิดและประเภทเดียวกันให้แก่ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการรายหนึ่งรายใด สามารถจัดทำใบกำกับภาษี (แบบเต็มรูป) รวมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน สำหรับผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการรายนั้นก็ได้

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/rcqgKm

9. สรรพากร ออกระเบียบเกี่ยวกับระบบ E – Tax Invoice by Email

                กรมสรรพากร ได้ออกระเบียบเพื่อรองรับการใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice by Email ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560   เป็นต้นไป

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice by Email พ.ศ.2560 ประกาศกำหนด

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/n3BWWG

 

ข่าวภาษี

ครม. อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงให้มาทำงานในไทย

                เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 คณะรัฐมนตรมีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ... โดยลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้มีความสามารถสูงระดับโลกให้มาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามโครงการพัฒนาระเบียบเศรษฐกิจภาคตะวันออกในประเทศไทย โดยให้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราปกติ หรือเสียในอัตราร้อยละ 17

                ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายประกาศกำหนดต่อไป

                ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/6Q4niX

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

                คำพิพากษาฎีกาที่ 1485/2559

                ระหว่าง                 นาย จ.                                                               โจทก์

                กับ                       กรมสรรพากร                                                      จำเลย

                เรื่อง                    การยกที่ดินให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

 

                โจทก์ซื้อที่ดินและได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นแปลงย่อย ประมาณ 70 แปลง และโจทก์ได้ยื่นคำขอขยายเขตการจำหน่ายไฟฟ้าลงในที่ดินดังกล่าว เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ส่อแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าเป็นการดำเนินการดังกล่าวเพื่อขาย ดังนั้นการที่โจทก์นำที่ดินที่แบ่งแยกโดยได้จัดทำถนนและสิ่งสาธารณูปโภคไว้ไปจดทะเบียนโอนให้บุคคลทั่วไป จึงเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/4 (6) ประกอบมาตรา 3 (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 และมาตรา 4 (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541

                แม้ต่อมาโจทก์ยกที่ดินจำนวน 49 แปลงที่เหลือจากการขายให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายโดยไม่มีค่าตอบแทน ซึ่งถือเป็นการขายตามประมวลรัษฎากรตามมาตรา 91/1 (4) จึงย่อมเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าหรือหากำไรตามมาตรทา 4 (4)แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 จึงไม่ต้องพิจารณาว่าเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 4 (6) (ง) แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอีก โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีธุรกิจเฉพาะจากการยกที่ดิน 49 แปลง ให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย และต้องนำเงินได้จากการยกที่ดินให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 48 (1) (2) แห่งประมวลรัษฎากร

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

                จากคำพิพากษาฎีกาข้างต้น เป็นกรณีของการโอนที่ดินให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโดยปกติการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายผู้มีเงินได้จะได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 4(6)(ง) แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 แต่ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์ได้โอนที่ดินให้แก่บุตรภายหลังการแบ่งแยกไว้เพื่อขาย โดยได้จัดทำถนนหรือสิ่งสาธารณูปโภคอื่น เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 4(4) แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541 ที่ถือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร

                ผู้เขียนเห็นด้วยกับความเห็นของศาลฎีกาในประเด็นที่ว่า การที่โจทก์โอนที่ดินภายหลังจากการแบ่งแยกไว้เพื่อขายให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้การโอนที่ดินนั้นจะไม่มีค่าตอบแทนก็ตาม ก็ถือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 91/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากรทั้งยังถือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ การโอนที่ดินที่แบ่งแยกไว้เพื่อขายให้แก่บุตรจึงไม่ถือเป็นการโอนที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะแต่อย่างใด             

                ดังนั้น หากประสงค์ที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและโดยไม่เข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องไม่มีการแบ่งแยกหรือจัดสรรที่ดินไว้เพื่อขาย เพราะว่าเมื่อมีการจัดสรรที่ดินแล้วโอนขายไม่หมด จะนำมาโอนให้แก่บุตรโดยอ้างว่าไม่ได้เป็นการโอนเพื่อขายนั้น จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้โดยชอบ

กฤษติยา วาระเพียง

 

                หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, sureelukt [at] dlo.co.th

 

 

    บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

สุนทรี จุงเลียก

+662 680-9753

soontreej [at] dlo.co.th

ราชศักดิ์ กุลกัลยา

+662 680-9708

ratchasakk [at] dlo.co.th

ชัยศิริ ลิ่วสัมฤทธิ์

+662 680-9708

chaisiril [at] dlo.co.th

 

 

 

Viewing all 253 articles
Browse latest View live