Quantcast
Channel: สำนักกฎหมายธรรมนิติ
Viewing all 253 articles
Browse latest View live

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

$
0
0
สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

        จากจุดเริ่มต้นในปีพุทธศักราช 2490 โดยการรวมตัวของนักวิชาชีพกฏหมายกลุ่มเล็กๆ ก่อตั้งสำนักงานทนายความขึ้นเพื่อรับว่าความและให้คำปรึกษาทางกฏหมาย มาจนถึงวันนี้เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป 70 ปี สำนักงานกฏหมายธรรมนิติแห่งนี้ได้เติบโตขึ้นเป็น “เครือธรรมนิติ”ที่ขยายขอบเขตงานไปสู่บริการทางวิชาชีพครบวงจร ทั้งกฎหมาย บัญชี ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบภายใน อบรมสัมมนา สื่อสิ่งพิมพ์ และบริการด้านสารสนเทศ
       
        ถึงวันนี้ “เครือธรรมนิติ”เตรียมพร้อมที่จะก้าวผ่านปีที่ 70 ไปสู่ 100 ปี ในเส้นทางวิชาชีพและการบริหารในรุ่นที่ 3 ซึ่ง ‘ดุลยทัศน์ พืชมงคล’หนึ่งในกรรมการจัดการของเครือธรรมนิติ จะเป็นตัวแทนที่จะถ่ายทอดวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายขององค์กรแห่งนี้ เพื่อสืบสานอุดมการณ์จากรุ่นสู่รุ่นให้ก้าวรุดหน้าต่อไป

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

        กำเนิด “สำนักกฎหมายธรรมนิติ”
        จุดกำเนิดของทุกสิ่ง
       
        การเริ่มต้นจากกลุ่มทนายความเล็กๆ ที่รวมกลุ่มเพื่ออุดมการณ์และปณิธานแห่งกฎหมาย จึงเป็นที่มาของ ‘สำนักงานทนายความธรรมนิติ’ กลุ่มเล็กๆในครั้งนั้นจึงเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์แรกที่ได้เริ่มต้นขึ้นและ เติบโตจนถึงวันนี้ โดยผ่านร้อนผ่านหนาวและอุปสรรคต่างๆ มากว่า 70 ปี ได้อย่างมั่นคงและซื่อตรงในหลักวิชาชีพ
       
        “ผมขอแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาแล้วกัน ช่วงแรกคือตั้งแต่ปีที่ก่อตั้ง 2490 จนมาถึง 2520 ช่วงนั้นเป็นช่วงแรกที่เริ่มจาก สำนักงานทนายความ จัดว่าเป็นยุคจากไม่มีไปสู่มี คือจากไม่มีชื่อธรรมนิติ ก็เริ่มมีชื่อธรรมนิติปรากฏขึ้นมาในวงการกฎหมาย โดยผู้ก่อตั้งหรือสถาปนาธรรมนิติคือคุณประดิษฐ์ เปรมโยธิน นักกฎหมายผู้มากความสามารถ และมีวิสัยทัศน์ ซึ่งการแสดงวิสัยทัศน์ของคุณประดิษฐ์สามารถดูได้ง่ายๆ ตั้งแต่การตั้งชื่อสำนักงานว่า “ธรรมนิติ” ในยุคสมัยนั้นทางยุโรป หลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทย เวลาตั้งชื่อสำนักงานทนายความมักจะตั้งชื่อตัวเอง หรือชื่อพาร์ตเนอร์ หรือไม่ก็เป็นครอบครัว แต่ชื่อธรรมนิติที่คุณประดิษฐ์ตั้งขึ้นสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของวิชาชีพและ วิสัยทัศน์ของท่านอย่างชัดเจน ว่าสำนักงานกฏหมายนั้นตั้งอยู่บนธรรม และไม่ยึดติดอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง
       
        “ช่วงที่ 2 ตั้งแต่ปี 2521-2559 ช่วงเวลานี้เป็นยุคก่อร่างสร้างตัวและลงหลักปักฐานจนมั่นคงเติบโต จากขนาดเล็กไปสู่การขยายงานที่ใหญ่ขึ้นกว้างขึ้น ซึ่งในยุคดังกล่าวมีท่านบุศย์ ขันธวิทย์ อดีตผู้พิพากษา และคุณไพศาล พืชมงคล ทนายความอาวุโส ซึ่งได้สืบทอดกิจการของธรรมนิติ ก็ได้ทำการแปรสภาพจากสำนักงานทนายความจดทะเบียนเป็นบริษัท และตั้งบริษัท ธรรมนิติ และขยายกิจการมาสู่บริการทางด้านบัญชี ซึ่งจัดว่าเป็นงานที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และยังต่อยอดมาสู่งานตรวจสอบบัญชี การจัดทำสื่อนิตยสารทางด้านภาษีอากร จนมาสู่การแปรสภาพอีกครั้งเป็น บริษัท ธรรมนิติ จำกัด (มหาชน)โดยมีบริษัทในเครือที่ให้บริการวิชาชีพดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงเรียกได้ว่าเป็นการบริหารในยุคที่ 2 ต่อจากคุณประดิษฐ์ นับเป็นช่วงที่นำโดยคุณไพศาล สภากรรมการ และกรรมการจัดการ ตลอดจนผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถอีกหลายท่านที่สร้างธรรมนิติร่วมกัน มา จึงเป็นย่างก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ขององค์กรเราจากก้าวแรกที่เริ่มต้นจาก คนเพียง 3 คน อาศัยเช่าสำนักงานอยู่บนชั้น 2 ของตึกแถว ด้วยทุนจดทะเบียน 3 แสนบาท

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

        "จนมาถึงปัจจุบันเรามีพนักงานเกือบ 600 คน มีออฟฟิศ 3 แห่ง และรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นกิจการวิชาชีพที่เติบโตมาอย่างมั่นคงบนรากฐานธุรกิจโดยคนไทย แท้ๆ และเติบโตเรียกว่าไม่ได้หวือหวานัก แต่ว่ามีเสถียรภาพ จนเมื่อปี 2559 ธรรมนิติก็ได้มีการผลัดใบ เนื่องจากคณะกรรมการชุดเดิมที่บริหารงานมาในยุค 2 ก็ถึงเวลาส่งมอบให้กับยุคใหม่ ก็เลยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้น ซึ่งผมเองก็เป็นกรรมการจัดการลำดับที่ 1 ของคณะกรรมการนี้จากที่มีทั้งหมด 5 คน ก็มีภารกิจของยุคที่ 3 ที่จะเป็นการก้าวต่อไปท่ามกลางเทคโนโลยีและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ รวดเร็ว เป็นยุคที่ต้องรักษารากฐานที่สร้างมาให้มั่นคงยั่งยืน แต่แน่นอนว่าภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่ๆ นี้ งานวิชาชีพก็จะต้องก้าวไปให้ทันกับเทคโนโลยีตอนนี้ก็เป็นภารกิจของชุดที่ 3 ซึ่งเราได้มองภาพอีก 30 ปีข้างหน้าว่า ในวันที่ธรรมนิติมีอายุ 100 ปี เราจะไปยืนอยู่ตรงจุดไหนและจะไปด้วยวิธีการอย่างไร ซึ่ง 30 ปีข้างหน้าดูเผินๆเหมือนว่ามันไกลนะครับ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูข้างหลัง นี่เราก้าวเดินมา 70 ปีแล้ว อีก 30 ปีจึงไม่ถือว่าไกลเท่าไหร่เลย
       
        “เจตนารมณ์ ณ ตอนนั้น ผมคิดว่าเป็นมุมมองของนักวิชาชีพที่รักจะทำงานที่ตัวเองร่ำเรียนสำเร็จมาและ มีความเชี่ยวชาญ และเป็นกลุ่มคนที่ปรารถนาจะก่อร่างสร้างตัวเองและองค์กรขึ้นมาให้เป็นสถาบัน ที่มั่นคง ฉะนั้นจึงต้องย้ำว่าคุณประดิษฐ์ท่านมีความคิดสร้างสรรค์มากจริงๆ ตัวผมแม้ว่าจะเกิดไม่ทันในยุคนั้น แต่ได้รับฟังเรื่องราวความคิดของคุณประดิษฐ์อยู่เสมอๆ เช่นว่าแม้จะเป็นนักกฎหมายแต่ท่านก็มีความคิดและความมุ่งมั่นที่จะตั้ง สำนักงานบัญชีในนามธรรมนิติขึ้นให้ได้ หรือแม้แต่มีความคิดที่จะสร้างธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวขึ้น ซึ่งคนในวิชาชีพด้านกฎหมายทั่วไปอาจจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องพวกนี้กันนัก แต่คุณประดิษฐ์มีทัศนะว่ากฎหมายเป็นเรื่องที่กว้างขวาง ที่สามารถจะเชื่อมโยงงานไปได้หลากหลาย แล้วความคิดสร้างสรรค์ก็ถูกถ่ายทอดมายังผู้นำรุ่นต่อๆ มา อย่างคุณไพศาลเองก็ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ มากมายหลายอย่าง จากความคิดความฝันในอากาศก็สามารถปลุกปั้นให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาได้
       
        “พอมาถึงยุคที่สอง สำนักงานทนายความก็แปรสภาพมาเป็นบริษัท ซึ่งทนายความสมัยนั้นใช่ว่าทุกคนจะมีหลักมีฐานมากนักในทางรายได้ หลายคนทำงานมาถึงวันหนึ่งก็หันไปสอบเป็นผู้พิพากษา อัยการ หรือไปทำงานราชการบ้าง ซึ่งคนธรรมนิติไปสอบอะไรก็มักจะสอบได้เสียด้วย เพราะฉะนั้นคนจึงไม่นิ่งนัก มีผลให้การเติบโตของคนและงานไม่ต่อเนื่องสักเท่าไหร่ แต่พอเป็นรูปบริษัท องค์กรก็มีความมั่นคงมากขึ้น มีการบริหารจัดการที่เป็นหลักเป็นฐานและมีเส้นทางในการเติบโตที่ชัดเจนขึ้น นำไปสู่ความมั่นคงและมั่งคั่งที่มากขึ้น และสามารถผลักดันความคิดสร้างสรรค์ที่มีมาต่อไปได้ เช่นงานบัญชีที่ตั้งขึ้นและมั่นคงได้อย่างที่คุณประดิษฐ์หมายมั่นไว้
       
        “แม้ในระยะแรกงานด้านบัญชีอาจจะยังล้มลุกคลุกคลานอยู่บ้างด้วยเราอาจจะยังขาด ความเจนจัดและประสบการณ์ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง ตลอดจนเมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้นและได้ผู้บริหารงานที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างเช่นคุณพิชัย ดัชนาภิรมย์ เข้ามาร่วมงานในเวลาต่อมา ธุรกิจด้านบัญชีของธรรมนิติก็ตั้งหลักมั่นคงได้ และยังต่อยอดไปถึงงานตรวจสอบบัญชี งานตรวจสอบภายใน ที่ค่อยๆ ขยายเติบโตจนเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาชีพในปัจจุบัน อันนี้คือจุดเริ่มต้นจากการรวมตัวของบุคคลที่จะทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก เชี่ยวชาญ มีวิสัยทัศน์ และทุ่มเท

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

        ขยับขยายต่อกอไผ่
        เพื่อครอบคลุมทุกวิชาชีพ
       
        ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งของ “ธรรมนิติ” ก็คือทฤษฎีการบริหารในแบบธรรมนิติ อย่างเช่นทฤษฎีการขยายงานที่เราเรียกว่าทฤษฎีกอไผ่ ที่หมายถึงกอไผ่ซึ่งจะขยายตัวออกไปจากหน่อที่เกิดใหม่เล็กๆ ข้างกอเดิม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะอะไรการขยายตัวภายใต้ทฤษฎีนี้ จึงให้ระดับความมั่นใจในผลลัพธ์ได้ค่อนข้างสูง นั่นเพราะเป็นการขยายไปจากสิ่งที่เรามีและเข้าใจ...
       
        “ผมสามารถกล่าวได้ว่า ธรรมนิติ เป็นองค์กรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของเรา เช่นลักษณะธุรกิจของเราก็มีความเฉพาะ ด้วยกิจการที่อยู่บนเส้นทางวิชาชีพกฎหมายอาจมีอยู่ไม่น้อย แต่หากพูดถึงกลุ่มองค์กรที่มีทั้งบริษัทด้านกฎหมายและบัญชีด้วย ก็อาจหายากขึ้น ยิ่งรวมถึงงานตรวจสอบภายใน งานจัดการอบรมสัมมนา งานสิ่งพิมพ์ และงานสารสนเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็ยิ่งหาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบริการที่ทำคล้ายเราแทบไม่มี
       
        “เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ก็คือความแปลกใหม่และมีลักษณะเฉพาะสำหรับงานวิชาชีพในยุค นั้นหรือแม้แต่ในทุกวันนี้ ซึ่งคนที่อยู่ในแวดวงนี้อาจจะมองว่ามีความแปลกนะ บ้างก็ว่ากล้าหาญนะที่ทำสิ่งแบบนี้ แต่แน่นอนว่าตลอดเส้นทางมันมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มลุกคลุกคลาน แต่ว่าเราก็ทดลองเดินและข้ามมันมาได้ เราจึงผ่านความเจนจัดจนมากพอที่จะมองได้ออกว่า ในแต่ละจังหวะเวลาเราควรจะขยับขยายธุรกิจส่วนไหน และต้องระมัดระวังอะไร
       
        “ยกตัวอย่างในการทำงานวิชาชีพตรวจสอบ ซึ่งก็จะมีงานอีกแขนงหนึ่งที่เรียกว่าการตรวจสอบภายใน ที่จะเข้าไปดูแลตรวจสอบกิจการ เรื่องหรือประเด็นที่กำหนดให้ต้องมีการตรวจสอบประเมิน ก็เริ่มจากการเป็นหน่วยงานเล็กๆ ที่เป็นระดับสายงาน ก็เหมือนเป็นหน่อไผ่เล็กๆ ที่โผล่ขึ้นจากผืนดินข้างกอเดิม เมื่อจังหวะเวลามาถึงและเรามีความพร้อมมากพอ หน่วยงานนี้ก็ถูกยกฐานะและภารกิจขึ้นเป็นฝ่ายงาน และเมื่อปีที่แล้วก็ได้จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท เป็นกิจการใหม่ขึ้นมา
       
        ตรงนี้ผมขอพูดถึงประเด็นที่ว่า การที่ธรรมนิติดำเนินธุรกิจมายาวนานถึง 70 ปีได้นั้น มันต้องมีเหตุและปัจจัยอะไรบางอย่างที่ทำให้องค์กรแห่งหนึ่งมีอายุยาวนานได้ ขนาดนี้ โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นองค์กรวิชาชีพที่ปกติทั่วไปแล้วไม่ใช่เรื่องที่จะพบ กันได้มากนัก ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ว่านั้นก็คือ การที่องค์กรถูกออกแบบไว้ให้มีเอกลักษณ์และความแตกต่างเฉพาะนั่นเอง
       
        ผมขอสรุปไว้เป็น 5 ประการ
        ประการที่ 1 คือเราตั้งอยู่ในอุตสาหกรรมบริการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจ งานบัญชี งานกฎหมาย งานวิชาการความรู้ หรือแม้แต่ปัจจุบันที่มีงานสารสนเทศเพิ่มขึ้นมาด้วยนั้น ล้วนแต่เป็นรากฐานสำคัญ เป็นปัจจัยสี่ของธุรกิจ อย่างคนต้องมีปัจจัยสี่ องค์กรธุรกิจก็มีปัจจัยสำคัญในการดำรงคงอยู่และดำเนินงานไปเช่นกัน แม้ไม่จัดว่าหวือหวาแต่ว่ามีความจำเป็น เหมือนมนุษย์ต้องดื่มน้ำ ธุรกิจก็ขาดไม่ได้ซึ่งเรื่องกฎหมาย บัญชี ภาษีอากร สารสนเทศ หรือการพัฒนาคน
       
        ประการที่ 2 ก็คือปรัชญาของธรรมนิติ เรามีปรัชญาในการบริหารของเราซึ่งก็มีด้วยกันหลายเรื่องหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่เราตั้งมุมมองต่อคนว่า ‘คนเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของธรรมนิติ’ เพราะว่าเราประกอบธุรกิจทางวิชาชีพ เราไม่มีโรงงาน เราไม่มีเครื่องจักร เราไม่มีสินค้าชิ้นใหญ่โต ทุกสิ่งทุกอย่างของเราคือคน การลงทุนความรู้และพัฒนาคน การใส่ใจดูแลคน การให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ จึงมีศูนย์กลางอยู่ที่คน เราจึงมีคำกล่าวภายในของเราว่า ‘คนคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเราที่ไม่ปรากฏอยู่ในงบดุล’
       
        ประการที่ 3 คือ เรื่องที่เราใช้ความพยายามในการรักษาคุณภาพและความซื่อสัตย์ในทางวิชาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก และต้องประกาศเป็นเจตนารมณ์ บ่มเพาะจิตใจให้ทุกส่วนเกิดความตระหนักสำนึกในความรับผิดชอบต่อวิชาชีพและ ต่อลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นเครดิตในวิชาชีพของเรา บางเรื่องคุณอาจเก่งน้อยหน่อยยังไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ ในระยะยาวก็อยู่ไม่ได้
       
        ประการที่ 4 คือ เรามีบริการที่ครอบคลุมตลอดเส้นทางธุรกิจ คือถ้าเปรียบเส้นทางของผู้ประกอบการเหมือนถนนเส้นหนึ่ง เริ่มต้นจากจุดเอไปยังจุดบี หรือลากต่อไปยังจุดถัดไปเรื่อยๆ เรามีบริการที่รองรับเกือบจะเรียกได้ว่าตลอดเส้นทาง เหมือนเดินทางจากกรุงเทพฯไปพัทยา ที่มีปั๊ม มีจุดพักรถ มีร้านอาหาร มีอู่ซ่อม ฯลฯ มีสิ่งอำนวยความสะดวกไปตลอดรายทาง
       
        “พอเริ่มต้นธุรกิจ เตรียมตัวที่จะออกสู่ถนนสายหลัก เรามีบริการอย่างงานวางระบบโครงสร้างนิติบุคคล งานจดทะเบียน งานจัดทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี เรามีบริการสำหรับกิจการที่ต้องการผู้ที่เชื่อถือไว้วางใจได้จัดการเรื่อง เงินเดือนของบุคลากรให้ หรือเมื่อทำธุรกิจมาถึงช่วงหนึ่งมีปัญหาที่ต้องแก้ไขหรือคลี่คลายที่ต้องมอง หาที่ปรึกษาทางกฏหมาย ก็เป็นงานรากฐานของเรา หรือกิจการมีการขยายตัวเติบโตขึ้น กำหนดเป้าหมายเข้าสู่ตลาดฯ เราก็มีบริการที่เกี่ยวข้องรองรับ
       
        “เพราะฉะนั้น การที่บริษัทมีบริการหลากหลายและเชื่อมโยงกันอยู่ จึงถือว่าเป็นจุดเด่นของเราอย่างหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นธุรกิจขนาดไหนก็แล้วแต่ เล็กไปจนถึงใหญ่ คุณมีเราเป็นทางเลือกอยู่ใกล้ๆตลอดเส้นทาง จะเรียกว่ามีเพื่อนที่ทำให้ไม่รู้สึกว้าเหว่ก็ได้ (หัวเราะ)
       
        ประการที่ 5 คือเรื่องชื่อเสียงและความเชื่อมั่น เวลาตลอดจนสิ่งที่เราสั่งสมมาใน 5 ข้อแรก มันกลายเป็นแต้มต่อที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่สังคมและผู้ประกอบการรับรู้ และมอบความไว้วางใจให้แก่เรา ก็ทำให้เรามีต้นทุนหรือคะแนนจิตพิสัยที่ดี ซึ่งถือว่าเป็นเครดิตอย่างหนึ่งครับ”

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

        เครือธรรมนิติ
        เพื่อการขยายงานที่กว้างไกลขึ้น
       
        ด้วยการเติบโตอย่างเป็นจังหวะจึงทำให้ “เครือธรรมนิติ” เริ่มแสดงศักยภาพของสำนักงานได้อย่างชัดเจนขึ้นโดยลำดับ จากสำนักงานเล็กๆ ก้าวสู่บริษัทที่ใหญ่ขึ้นและมีการบริการครบวงจร จึงทำให้ธรรมนิติกลายเป็นองค์กรทางวิชาชีพชั้นแนวหน้าแห่งหนึ่งของไทยอย่าง เต็มภาคภูมิ
       
        “ก่อนหน้านี้ธรรมนิติยังมีคนน้อยกว่าทุกวันนี้ แต่ก็เริ่มมีธุรกิจหลากหลายแล้ว คนจากหลายหน่วยงานจะทำงานกันอย่างใกล้ชิด ใช้การพูดคุยประสานงานกันอย่างไม่เป็นทางการมากหน่อยแล้วก็สามารถผลักดันงาน ไปได้ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น คนมากขึ้น เราต้องใช้ระบบที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการบริหาร การสื่อสาร และขับเคลื่อนงาน เข้ามาเสริมเพิ่มเติม
       
        ปัจจุบันเรามีบุคลากรก็เกือบ 600 คน โดยมากเป็นนักวิชาชีพและนักวิชาการ มีบริการหลากหลาย ฉะนั้นมันจึงต้องเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปตามสภาพแวดล้อม คนมากขึ้น งานมากขึ้น ธุรกรรมมากขึ้น เราจึงใช้ระบบในการผลักดันขับเคลื่อนงาน หนึ่งในระบบที่เราจัดขึ้นมาในระยะหลังนี้ คือระบบคณะทำงานที่เรียกว่าฟังก์ชัน กล่าวคือเรามีการจัดเน็ตเวิร์กบุคลากรที่เรียกว่ากรรมการฟังก์ชันซึ่งเป็น ตัวแทนของทุกบริษัทในเครือเข้ามาทำงานร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นจุด เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคน งาน และต่อยอดงานซึ่งกันและกันในลักษณะกึ่งทางการ
       
        “ในสมัยก่อน หากว่ามีลูกค้า 1 รายเดินเข้ามาที่เรา ซ้ายมือก็เป็นกฎหมาย ขวาก็เป็นบัญชี ข้างบนเป็นตรวจสอบบัญชี ข้างๆ ก็วิชาการอบรมสัมมนา เราสามารถแนะนำเชื่อมงานระหว่างกันได้ง่ายๆ เพราะทุกคนรู้จักกัน แต่ตอนนี้คนมากขึ้น องค์กรใหญ่ขึ้น ทั้งมีที่ทำการมากกว่าหนึ่งแห่ง เราจึงใช้ระบบเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงโดยอาศัยทั้งคนและเทคโนโลยี เราใช้สื่อสังคมออนไลน์และระบบสื่อสารภายในในการติดต่อสื่อสารและมีผู้แทนฟังก์ชันที่ว่าเข้าเป็นกรรมการที่เรากำหนดไว้ 3 กลุ่มงานคือ งานอำนวยการ ตั้งแต่งานบัญชี งานบุคคล งานจัดซื้อ ฯลฯ รวมถึงงานเลขานุการ ก็จะกลายเป็นทีมทีมหนึ่งที่มีเครือข่ายการประสานงาน การประชุมกันเป็นระยะๆ เพื่อมาคิด มาแชร์ และก็หาข้อสรุปเพื่อนำเสนอกรรมการส่วนบริหารกลาง หรือเฉพาะกลุ่มธุรกิจตามสาระของแต่ละเรื่องต่อไป
       
        “ส่วนที่สอง ก็เป็นด้านไอที เพราะธุรกิจวันนี้มันเหมือนเรามีกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นมาอีกเส้นหนึ่ง คือระบบสารสนเทศ ซึ่งก็มีผู้แทนจากบริษัทในเครือเข้ามาเป็นคณะกรรมการในฟังก์ชันนี้
       
        “ส่วนที่สาม ก็คือส่วนของการตลาดและเครือข่ายพันธมิตร เรามองว่าธุรกิจในปัจจุบัน การสร้างแบรนด์ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า รวมถึงการสร้างความสุขให้กับพนักงาน เป็นภารกิจที่สำคัญ ที่ผ่านมาเรามีการสำรวจเจเนอเรชันของคนในองค์กร โดยสมมติฐานเดิมบางคนอาจคิดว่าจะมีคนในเจนเอ็กซ์เป็นส่วนมาก แต่พอผลสำรวจออกมาปรากฏว่ากลับเป็นเจนวาย ซ้ำยังมากกว่าเจนเอ็กซ์ถึง 3 เท่า และยิ่งหากมองไปในอนาคตอันใกล้ ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป คนในเจนแซดก็จะเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานด้วยแล้ว
       
        “วิถีชีวิตหรือแนวความคิดของคนต่างเจเนอเรชันใหม่ๆ ซึ่งกลายมาเป็นคนส่วนใหญ่ขององค์กรจึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา เพราะเจเนอเรชันมีผลต่อมุมมองความคิด ดังนั้นเมื่อไลฟ์สไตล์คนส่วนใหญ่เปลี่ยน องค์กรก็อาจจะต้องมีสไตล์บางเรื่องที่เปลี่ยนไปด้วยไม่มากก็น้อย โจทย์ของเราคือจะทำอย่างไรให้คนอยู่ร่วมได้อย่างกลมกลืน มีความสุข มีคุณภาพในการทำงาน และส่งเสริมให้ผสมผสานเป็นพลังสร้างสรรค์จากความสดใหม่และประสบการณ์ ซึ่งฟังก์ชันการตลาดฯ ส่วนภารกิจภายในองค์กรกำลังทำเรื่องเหล่านี้อยู่"

เปิดหลังบ้าน “ธรรมนิติ” 70 ปี กับภารกิจนำองค์กรวิชาชีพ รุ่นที่ 3

        อีกจังหวะก้าวของการขยายงาน
       
        จากการขยายงานทุกภาคส่วนของ “เครือธรรมนิติ” ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นที่ผ่านมา จนทำให้เติบโตอย่างมั่นคงมาในวันนี้ และด้วยศักยภาพที่มีอยู่ จึงทำให้องค์กรแห่งนี้ เตรียมพร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า และขยับฐานงานไปสู่การให้บริการแก่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น เพื่อแสดงศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยได้ภูมิใจกับสถาบันทางวิชาชีพของคนไทย
       
        "เราตั้งเป้าในเชิงท้าทายแบบนั้น และเตรียมความพร้อมด้วยการระดมความคิด ความรู้ เพื่อกำหนดแนวทางเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ทุกวันนี้กิจการวิชาชีพขนาดใหญ่และรองรับงานในระดับสากล โดยมากก็จะเป็นกิจการจากต่างชาติ ส่วนกิจการของคนไทยยังเป็นขนาดเล็ก ขนาดกลาง จะมีที่ใหญ่บ้างก็ไม่มากนัก
       
        “เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นหนึ่งในกิจการวิชาการวิชาชีพของคนไทย ที่ตั้งเป้าจะพัฒนาตนเองเทียบเคียงไปกับผู้ให้บริการในระดับสากล เรามีความภูมิใจที่หลายๆ บริการที่เรามีปัจจุบันสามารถแข่งขันกับผู้ให้บริการขนาดใหญ่ได้ อย่างเช่นงานบริการทางกฎหมาย บริการทางบัญชี และด้านการพัฒนาความรู้ทางวิชาชีพ หรือในงานอย่างที่ผมพูดถึงการตรวจสอบภายใน ซึ่งผู้ประกอบการชาวไทยอาจมีไม่มากนัก แต่เราสามารถยกธุรกิจตัวนี้ให้ขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการลำดับต้นๆ ของเมืองไทยได้ในชั่วเวลาไม่นานนัก
       
        "เราเป็นบริษัทไทย เราจึงไม่ได้มองว่าการที่มีผู้ประกอบกิจการเช่นเดียวกับเรานั้นเป็นคู่แข่ง เราไปทั้งหมด เรามองว่าทุกคนเป็นพันธมิตรกันได้ ในเรื่องที่สามารถอำนวยประโยชน์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างเช่นการเป็นกลุ่มสังคมของผู้ประกอบการทางวิชาชีพที่จะสร้างสรรค์พัฒนา อะไรบางอย่างให้แก่วิชาชีพของเราและสังคม หรือการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ในเชิงธุรกิจเราต่างก็ทำงานกันไป แต่ในเรื่องของการรวมตัวเพื่อการพัฒนาวิชาชีพเรามีความพร้อมที่จะร่วมมือและ ส่งเสริม นี่คือสิ่งที่เราปรารถนา
       
        “เรายังมีความดีใจและภูมิใจที่เรามีลูกค้าคนไทยนึกถึงเราเสมอ และเรายังตั้งเป้าไปสู่งานที่มีลักษณะสากลมากขึ้นด้วย ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางวิชาชีพที่กว้างขวางขึ้น ภาษา เทคโนโลยี บุคลิกภาพ วิสัยทัศน์ และทักษะอีกหลายอย่าง
       
        “นักกฎหมายที่เก่งจะต้องครบเครื่อง ทั้งด้วยความรู้ทางวิชาชีพ และนอกเหนือวิชาชีพ บุคลิก การวางตัว ทักษะการสื่อสารการแสดงความคิดเห็น ภาษาต่างประเทศที่ต้องลึกซึ้ง การใช้สำนวนโวหารที่คมคาย และที่สำคัญคือรักที่จะศึกษาเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเป็นวิชาชีพที่ต้องพบเจอเคสเจอเรื่องราวมากมาย ยกตัวอย่างเช่นถ้าทำคดีทางการแพทย์ ก็ต้องรักที่จะศึกษาเรื่องราวทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับงานด้วย สิ่งเหล่านี้มันส่งต่อให้เกิดความมั่นใจแก่ลูกค้า ซึ่งจะว่าไปนักกฎหมายก็มีส่วนคล้ายหมอในบางแง่มุม คนมาหาหมอเพราะเจ็บป่วย คนมาหานักกฎหมายส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้อนใจ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความพร้อมที่จะรักษาดูแลได้ คือมาถึงแล้วต้องรักษาที่ใจก่อน นี่คือทักษะที่เราต้องสร้างและพัฒนา ส่วนทางด้านวิชาชีพบัญชี จะต้องอาศัยความรู้ความสามารถของวิชาชีพที่อัปเดตอยู่ตลอดเวลา เพราะมันมีมาตรฐานทางวิชาชีพ กฎระเบียบ เงื่อนไข ข้อยกเว้นต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แล้วการทำงานก็อยู่ภายในเงื่อนเวลาที่ถูกกำหนดขีดเส้นไว้ชัดเจน จึงต้องอาศัยเรื่องเทคโนโลยีที่จะทำให้การทำงานบัญชีของเรากับลูกค้า หรืองานกับคนทำงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อก่อนงานบัญชีปิดซองเอกสารแล้วส่งกันไปมา ปัจจุบันและอนาคตจะเริ่มเปลี่ยนไป เพราะเปลี่ยนตั้งแต่ระดับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ลดการใช้กระดาษและใช้ ระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาแทน เราก็ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องเพื่อให้มีความพร้อมอยู่เสมอ
       
        “ฉะนั้น วันหน้าเราอยู่ตรงนี้ เราอาจจะให้บริการลูกค้าที่อยู่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาส่งเอกสารกันบ่อยๆ มีเวลาที่จะได้มานั่งพูดคุยกันในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์แก่ลูกค้า มากขึ้น หรือว่าเราอาจจะมีนักบัญชีที่ทำงานจากหลากหลายสถานที่มาทำงานให้เราก็ได้
       
        ส่วนกลุ่มงานที่สามคืองานวิชาการและสิ่งพิมพ์ ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงที่เยอะเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าปัจจุบันคนค้นหาข้อมูลกันเอง ศึกษากันเองมากขึ้น ทั้งสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบ แสดงความเห็นเองได้ในสื่อสังคมออนไลน์ การเรียนการอ่านก็เหมือนกัน ในอดีตการเรียนคนต้องท่องตำรา ต้องเข้าคลาสเรียน แต่อนาคตยังไม่แน่ว่าวิธีการเช่นเดิมนี้จะยังเป็นวิธีการหาความรู้หลักอยู่ หรือไม่
       
        “แน่นอนว่า เดี๋ยวนี้คนเรียนรู้ผ่านดิจิตอลมากขึ้น จัดเป็นคู่แข่งที่แปลกใหม่ของแทบทุกประเภทธุรกิจและอุตสาหกรรม การปฏิวัติการเรียนรู้เกิดขึ้นทุกวัน ไม่แน่ว่าการเรียนรู้ในอนาคตอาจจะเป็นการดาวน์โหลดข้อมูลดิบตรงมาสมองได้เลย ซึ่งเราจะตีความผลกระทบต่างๆ เหล่านี้อย่างไร ปรับปรุงพัฒนาตัวเองยังไง เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ อีกทั้งยังมีคู่แข่งที่เรียกว่าของฟรีเข้ามาเป็นทางเลือกในตลาด โดยรวมๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรมการให้บริการและการจัดจำหน่ายที่เราต้อง ประเมินสภาพแวดล้อมและตนเองว่าจะต่อสู้แข่งขันยังไง อย่างเรื่องความรู้ มันเป็นการแข่งขันทางธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องแข่งกับนวัตกรรม และการคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อฉีกหนีออกไป
       
        “ในอนาคตอันใกล้ เราจะไม่พูดถึงอะไรที่ไกลตัวจนเกินไปนัก เทรนด์ของธุรกิจทุกวันนี้อาจต้องมองเชิงลึกและมีประสิทธิภาพก่อนเชิงกว้าง แต่ว่าก็ต้องขยายขอบเขตและปริมณฑลออกไปให้มากขึ้นด้วย เรามองว่าถ้าเราทำสิ่งที่เชี่ยวชาญหนึ่งเรื่องที่ให้บริการคนไทยแล้ว และพัฒนาสิ่งนั้นให้รองรับตลาดที่กว้างขึ้นได้ หาจุดแข็งในความเป็นสากลหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงมองหา จาก 60 ล้านคน เราจะไปถึงฐานคน 600 ล้านคนได้
       
        “ในระยะแรกที่เราจะทำ เราจะพัฒนาบริการบางอย่างที่เป็นข้อต่อหรือจุดเชื่อมต่องานให้แก่ธุรกิจ เพราะเรามองถึงลูกค้าเป็นหลักว่าอะไรจะเป็นบริการที่ตอบสนองงานและความ ต้องการของลูกค้าได้บ้าง ซึ่งในกระบวนการทำงานทั้งหลายมันเป็นปกติที่จะมีงานหลายอย่างและหลายส่วนงาน ที่ต่างต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ซึ่งก็มักจะมีรอยต่อที่ต้องใช้คนเข้ามาทำงานและก่อให้เกิดความยุ่งยาก เราจะอาศัยความเชี่ยวชาญในวิชาชีพและอาศัยเครื่องมือที่มี นำมาพัฒนาจุดเชื่อมต่อต่างๆให้มันเรียงร้อยต่อสนิทแน่นขึ้น เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้ประกอบการสามารถทำงานได้ง่ายลดเวลาและต้นทุนในการ ทำงานลง และมีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งเราได้ริเริ่มในบางโครงการเล็กๆ ขึ้นบ้างแล้วและจะค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นต่อไป”

        เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
        ภาพ : ปัญจพัฒน์ เข็มราช
        ที่มา : https://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000033910


พิธีไหว้ครู ประจำปี 2560

$
0
0

ในวันเสาร์ที่ 22 เมษายน 2560 นักวิชาชีพและบุคคลากรบริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด

ได้จัดพิธีไหว้ครู ประจำปี 2560 ณ สำนักกฎหมายธรรมนิติ อาคารภักดี

โดยมีท่านปกิต พัฒนกุล และคุณไพศาล พืชมงคล ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

ในการนี้ตัวแทนของศิษย์ชาวธรรมนิติได้มอบพานธูปเทียนและพานดอกไม้ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบูรพาจารย์ของชาวธรรมนิติ

จากนั้นประธานในพิธีทั้งสองท่านได้ให้โอวาทในการประกอบวิชาชีพทั้งทางโลกและทางธรรมเพื่อเป็นวิถีในการปฏิบัติวิชาชีพสืบไป

จากนั้น ชาวธรรมนิติ นำโดย คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ประธานกรรมการบริหาร ได้ร่วมกันทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ และถวายสังฆทาน

ลำดับถัดไป เป็น พิธีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พนักงานทุกคน จากนั้นได้ถ่ายภาพร่วมกัน

คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ได้รับเชิญร่วมเสวนาเรื่อง “แนวทางการปฏิรูปกฎหมายภาษีอากรและกฎหมายที่แก้ไขใหม่” จัดโดยศาลภาษีอากรกลาง

$
0
0
กองบรรณาธิการ

ในวันนี้ (3 พฤษภาคม 2560) คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ได้รับเชิญจากศาลภาษีอากรกลางให้ไปร่วมเสวนาเชิงปฏิบัติการ ตามโครงการส่งเสริมการประสานงานความร่วมมือด้านการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เรื่อง “แนวทางการปฏิรูปกฎหมายภาษีอากรและกฎหมายที่แก้ไขใหม่” ณ โรงแรม Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park

คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ได้รับเชิญบรรยายเรื่อง "SMEs Tax Management"ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่

$
0
0
กองบรรณาธิการ

ในวันนี้ (11 พฤษภาคม 2560) คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ประธานกรรมการบริหาร ได้รับเชิญจากธนาคารไทยพาณิชย์ ให้บรรยายตามโครงการอบรมหลักสูตร SCB IEP รุ่นที่ 14 เรื่อง "SMEs Tax Management"ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่

จดหมายข่าวภาษีอากรสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนเมษายน 2560

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’s Tax Newsletter

 

ฉบับที่ 76 เดือนเมษายน 2560

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. การหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรเป็นความผิดฐานฟอกเงิน

2. ยกเว้นเงินได้ให้นักกีฬาทีมชาติและผู้ฝึกสอนได้รับจากการให้โดยเสน่หาเนื่องจากเข้าร่วมแข่งขันกีฬา

3. สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนิติบุคคล เมื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท

4. ค่าจ้างผู้สูงอายุ หักรายจ่ายได้ 2 เท่า

5. เบี้ยปรับและ/หรือเงินเพิ่มภาษีอากร และค่าปรับทางอาญาตามกฎหมายภาษีอากรทุกประเภท ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม

6. คณะกรรมการฯ ชี้ไม่อาจขยายเวลาออกหมายเรียก เมื่อพ้นกำหนด 5 ปีได้

 

ข่าวภาษี

1. พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างผ่านวาระแรก

2. แก้ไขปรับปรุงประมวลรัษฎากรครั้งใหญ่

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 5695/2559

            ระหว่าง             บริษัท ช.                                               โจทก์

            กับ                    กรมสรรพากร                                        จำเลย

            เรื่อง                  ขอคัดถ่ายเอกสาร

 

 

 

 

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. หลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากรเป็นความผิดฐานฟอกเงิน

            พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 45) พ.ศ.2560 กำหนดให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรและการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะร้ายแรงถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งต้องเป็นการกระทำความผิดในลักษณะ ดังต่อไปนี้

            1) เป็นผู้กระทำความผิดตามมาตรา 37 มาตรา 37 ทวิ และมาตรา 90/4 แห่งประมวลรัษฎากร และ

            2) หลีกเลี่ยงภาษีอากร ฉ้อโกงภาษีอากร ตั้งแต่ 10 ล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป หรือขอคืนภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน ตั้งแต่ 2 ล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป และ

            3) กระทำในลักษณะกระบวนการ หรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรมอันเป็นเท็จหรือปกปิดรายได้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษี และ

            4) มีพฤติกรรมปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้

            ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2560 เป็นต้นไป

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/B5OzyN

2. ยกเว้นเงินได้ให้นักกีฬาทีมชาติและผู้ฝึกสอนที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาเนื่องจากเข้าร่วมแข่งขันกีฬา

            กฎกระทรวง ฉบับที่ 325 (พ.ศ. 2560) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 293) กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่นักกีฬาและผู้ฝึกสอนได้รับจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อเป็นรางวัลเนื่องจากการเข้าร่วมแข่งขันกีฬา เฉพาะส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

            1) ต้องเป็นนักกีฬาและผู้ฝึกสอนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาและรายการแข่งขันในกีฬาสมัครเล่นระดับนานาชาติตามเงื่อนไขที่กำหนด

            2) ได้รับเงินรางวัลดังกล่าวจากภาครัฐหรือภาคเอกชน โดยไม่มีข้อผูกพัน และได้รับเงินภายใน 1 ปีนับแต่วันที่การแข่งขันสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

            3) ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นเงินได้จากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีฯ เพื่อเป็นรางวัลฯ

            ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/e2DCQ0และ https://goo.gl/zs8Eoo

3. สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนิติบุคคลที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท

            พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 632) พ.ศ.2560 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 3) กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบทเป็นจำนวน 2 เท่า ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

            1) ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานฯ ตามแผนงานหรือโครงการของส่วนราชการฯ ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายจากรัฐบาล

            2) ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับแผนงานของส่วนราชการฯ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายจากรัฐบาลแล้ว

            3) ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ส่วนราชการฯ โดยไม่มีค่าตอบแทน

            4) ต้องมีหนังสือรับรองแผนงานและมีหลักฐานในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐบาล

            5) ต้องไม่นำรายจ่ายในการลงทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานฯ ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นี้ไปลงเป็นรายจ่ายเพื่อการสาธารณประโยชน์

            6) ต้องไม่นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นหรือใช้ในกิจการ BOI ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

            นอกจากนี้ยังให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้า หรือการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แทนให้แก่ส่วนราชการ

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/bY1IAoและ https://goo.gl/o76bLU

4. ค่าจ้างผู้สูงอายุ หักรายจ่ายได้ 2 เท่า

            พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560 กำหนดให้นายจ้างซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายในการจ้างผู้สูงอายุ สัญชาติไทย (อายุ 60 ขึ้นไป) ซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนในเครือเดียวกัน มาหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ซึ่งต้องมีอัตราค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป โดยนายจ้างขอใช้สิทธิได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/OfXH6E

5. เบี้ยปรับและ/หรือเงินเพิ่มภาษีอากร และค่าปรับทางอาญาตามกฎหมายภาษีอากรทุกประเภท ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม

            คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้มีคำวินิจฉัยที่ 40/2560 วินิจฉัยว่าเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มภาษีอากร และค่าปรับทางอาญาตามกฎหมายภาษีอากรทุกประเภท ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามของนิติบุคคลตามมาตรา 65 ตรี (6)  แห่งประมวลรัษฎากร และให้ยกเลิกคำวินิจฉัยที่ 10/2528 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/04tzoH

6. เจ้าพนักงานประเมินไม่อาจขยายเวลาออกหมายเรียก เมื่อพ้นกำหนด 5 ปีได้

            คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้มีคำวินิจฉัยที่ 41/2560 วินิจฉัยว่าผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ เจ้าพนักงานประเมินต้องออกหมายเรียกภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ยื่นรายการ และไม่อาจขยายเวลาออกหมายเรียกเพื่อประเมินภาษีเมื่อพ้นกำหนดเวลา 5 ปี โดยอาศัยอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากรได้

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/6RmCXp

 

ข่าวภาษี

1. พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างผ่านวาระแรก

            เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่คณะรัฐมนตรีเสนอ โดยที่ประชุมยังเสนอให้ยกเว้นการเก็บภาษีจากเกษตรกรที่เช่าที่ดินทำกิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนผลักภาระภาษีมาที่เกษตรกร อีกทั้งต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยดูแลประโยชน์ให้ประชาชนจากการกำหนดอัตราภาษีให้ชัดเจนและเสนอให้เก็บอัตราภาษีก้าวหน้ากรณีมีที่ดินกว่า 500 ไร่เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/IYJw4p

2. แก้ไขปรับปรุงประมวลรัษฎากรครั้งใหญ่

            รองปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่าจะมีการยกร่างแก้ไขประมวลรัษฎากรใหม่ ซึ่งอาจจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบได้ภายในเดือนกันยายน 2560 โดยจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็น ดังต่อไปนี้

            1) กระบวนการออกหมายเรียก ตรวจสอบ การประเมิน การอุทธรณ์

            2) การเก็บภาษีธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ข้ามชาติ ฯลฯ

            3) การป้องกันการถ่ายโอนกำไรของบริษัทข้ามชาติ (Transfer Pricing)

            4) มาตรการป้องกันการตั้งทุนต่ำ (Thin Capitalization)

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://goo.gl/7GDHsc

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

            คำพิพากษาฎีกาที่ 6171/2559

            ระหว่าง             บริษัท ช.                                               โจทก์

            กับ                    กรมสรรพากร                                        จำเลย

            เรื่อง                  ขอคัดถ่ายเอกสาร

            โจทก์ขอตรวจสอบและขอคัดถ่ายเอกสารเพื่อใช้ประกอบการยื่นคำอุทธรณ์การประเมินภาษี โดยเจ้าพนักงานของจำเลยอนุญาตให้โจทก์ตรวจดูและคัดลอกด้วยลายมือ แต่ไม่อนุญาตให้โจทก์ถ่ายสำเนาเอกสารดังกล่าวทำให้โจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยนำเอกสารหรือหลักฐานใดมาใช้ในการประเมินภาษีที่โจทก์อาจนำมาพิสูจน์หรือแสดงหลักฐานเพื่อโต้แย้งได้เนื่องจากโจทก์ได้ส่งเอกสารทั้งหมดให้จำเลยไปแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยไม่อนุญาตให้โจทก์ถ่ายสำเนาเอกสารเป็นการปฏิเสธสิทธิของโจทก์ในการโต้แย้งหรือชี้แจงหรือป้องกันสิทธิของตน อันไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 31 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองสิทธิในการตรวจดูเอกสารและจัดทำสำเนาเอกสาร (ถ่ายเอกสาร) อีกทั้ง การที่เจ้าพนักงานของจำเลยอนุญาตให้โจทก์ตรวจดูและคัดลอกเอกสารได้ทุกฉบับ เป็นการบ่งชี้ว่าไม่มีเอกสารฉบับใดที่มีเหตุยกเว้นโดยกฎหมายห้ามมิให้โจทก์ตรวจดูเอกสารและไม่มีเหตุผลพิเศษอื่นใดซึ่งสามารถนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ถ่ายสำเนาเอกสาร

            ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจึงเห็นสมควรเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และให้จำเลยอนุญาตให้โจทก์ถ่ายสำเนาเอกสารที่โจทก์มีสิทธิตรวจดูได้เพื่อประกอบการยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ถ่ายสำเนาเอกสารดังกล่าว

ความเห็นทางกฎหมาย

            คำพิพากษาข้างต้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับการขอคัดถ่ายเอกสารที่โจทก์ต้องนำไปประกอบการชี้แจงเพื่อยื่นอุทธรณ์การประเมิน ซึ่งปกติแล้วเอกสารทางบัญชีและภาษีจะประกอบไปด้วยเอกสารหลายฉบับและมีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก การที่ไม่สามารถถ่ายสำเนาเอกสารได้ทั้งหมด ทำให้โจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยใช้หลักฐานหรือเอกสารใดในการประเมินภาษี โจทก์จึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เพียงพอเพื่อยื่นอุทธรณ์การประเมินได้

            โดยที่มาตรา 31 วรรคหนึ่งของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดให้คู่กรณีมีสิทธิขอตรวจดูเอกสารที่จำเป็นต้องรู้เพื่อการโต้แย้งหรือชี้แจงเพื่อป้องกันสิทธิของตนได้ และมาตรา 31 วรรคสองกำหนดเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจดูเอกสาร หรือการจัดทำสำเนาเอกสาร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อพิจารณามาตรา 31 วรรคหนึ่งและวรรคสองประกอบกัน จะเห็นได้ว่าสิทธิขอตรวจดูเอกสารนั้น ให้รวมถึงการถ่ายสำเนาเอกสารด้วย แต่หากจำเลยเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ จำเลยก็มีอำนาจไมอนุญาตให้ตรวจดูเอกสารตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แต่กลับปรากฏว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจำเลยอนุญาตให้โจทก์ตรวจและคัดลอกเอกสารแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอถ่ายสำเนาเอกสารได้

            ดังนั้น การที่จำเลยไม่อนุญาตให้โจทก์ถ่ายสำเนาเอกสารอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถใช้สิทธิโต้แย้งสิทธิของตนได้เต็มที่ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ผู้เขียนเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว

            มีประเด็นที่น่าสนใจอีกว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีหนังสือแจ้งการประเมินมายังโจทก์ตั้งแต่ ปี 2551และไม่อนุญาตให้โจทก์ถ่ายสำเนาเอกสารตั้งแต่คราวแรกที่โจทก์ถูกประเมิน ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรมีคำพิพากษาในปี 2559 ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และโจทก์มีสิทธิถ่ายสำเนาเอกสารเพื่อประกอบการยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ถ่ายสำเนาเอกสารดังกล่าว เท่ากับว่าโจทก์และจำเลยต้องเสียเวลา ทรัพย์สิน และทรัพยากรในการต่อสู้คดีที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 8 ปีและต้องไปเริ่มดำเนินกระบวนการใหม่ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายเอกชนจะได้รับความเสียหายในการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายถึงสองคราวเพื่อสู้คดีกับรัฐ ซึ่งประมวลรัษฎากรยังไม่มีการกำหนดเยียวยาความเสียหายในส่วนนี้ อีกทั้งยังไม่มีการกำหนดเรื่องการยกเว้นเงินเพิ่มให้แก่ผู้เสียภาษีในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิพากษาให้กลับไปดำเนินกระบวนการใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมายหรือกำหนดมาตรการในส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อเยียวยาความเสียหายกับผู้เสียภาษีต่อไป

 

นางสาวชัชวลี ไมตรี

 

 

 

 

 

 

            หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/4 อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th

 

 

 

 

บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

สุนทรี จุงเลียก

+662 680-9753

soontreej [at] dlo.co.th

ราชศักดิ์ กุลกัลยา

+662 680-9708

ratchasakk [at] dlo.co.th

ชัยศิริ ลิ่วสัมฤทธิ์

+662 680-9708

chaisiril [at] dlo.co.th

 

 

 

 

 

 

 

สิทธิทางภาษีกับอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC)

ตั้ง New Start –Up สิทธิประโยชน์เกินคุ้ม !

$
0
0
Chatwalee Maitri

สนใจใช้บริการที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการจัดตั้งธุรกิจ New Start-Up ได้อย่างถูกต้อง

และไม่ต้องกังวลกับการถูกประเมินภาษีย้อนหลัง

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่  02-680-9753

 

ตั้ง New Start –Up สิทธิประโยชน์เกินคุ้ม !

ที่มา : 1. พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560

2. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 630) พ.ศ.2560

3. ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

4. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดกรณีการโอนห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

 

 

รายจ่าย 2 เท่า ช่วยบริษัทลดภาษี!!!

$
0
0
สุนทรี จุงเลียก

 

 

สนใจใช้บริการที่ปรึกษากฎหมาย ในการให้คำแนะนำ 

เพื่อให้ท่านใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างถูกต้อง ประหยัดภาษี และไม่เสี่ยงกับการถูกประเมินย้อนหลัง

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่  02-680-9753

 

ทางเลือก หักรายจ่าย 2 เท่า ช่วยบริษัทลดภาษี!

ที่มา :

1. พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560

2. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 290) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639) พ.ศ.2560

3. พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 632) พ.ศ. 2560

4. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 3) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจ่ายไปในการลงทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน หรือการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในชนบท


คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในหัวข้อ “วางแผนดี จ่ายภาษีน้อยลง” จัดโดยธนาคารกสิกรไทย

$
0
0
กองบรรณาธิการ

คุณกัมพล ทรัพย์ปรุง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สำนักกฏหมายธรรมนิติ จำกัด ได้รับเชิญจากธนาคารกสิกรไทยเป็นวิทยากรในหัวข้อ “วางแผนดี จ่ายภาษีน้อยลง”ในวันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 เวลา 12.30-17.30 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว

ประเด็นร้อน !!! แก้ไขหลักเกณฑ์การโอนทรัพย์สิน New Start-Up

$
0
0
Budhima Kerdsiri

ประเด็นร้อนๆ ขณะนี้คงหนีไม่พ้นกรณีการแก้ไขหลักเกณฑ์การโอนทรัพย์สินของธุรกิจ New Start-Up*

อธิบดีกรมสรรพากรแก้ไขหลักเกณฑ์การโอนทรัพยสินที่ใช้ในการประกอบกิจการจากบุคคลธรรมดาให้แก่นิติบุคคล (New Start-Up) ต้องเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อใช้เป็นทุนจดทะเบียนตามราคาตลาด ยกเว้น การโอนที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต้องโอนด้วยราคาประเมินในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หรือราคาต้นทุนซื้อที่ดินที่บุคคลผู้โอนได้ซื้อมาตามหลักฐานสัญญาซื้อขายที่ได้ทำเป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า

ผู้ประกอบธุรกิจที่เคยประกอบกิจการในรูปแบบบุคคลธรรมดา และประสงค์จะจดทะเบียนโอนทรัพย์สินไปยังนิติบุคคล New Start-Up ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นี้เท่านั้นจึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี  กรณีนี้มีความยุ่งยากและซับซ้อนไม่น้อย ซึ่งต้องพิจารณาวางแผนธุรกิจ และจัดรูปแบบองค์กรธุรกิจให้เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่ และไม่ต้องกังวลกับการถูกประเมินภาษีย้อนหลัง อันเกิดจากความเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน

สนใจบริการวางแผนภาษีและให้คำปรึกษาธุรกิจ New Start-Up โปรดติดต่อ 02-680-9753 , 02-680-9760 

 

ที่มา :

1. พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560

2. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560

3. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 630) พ.ศ. 2560

หลักเกณฑ์การจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2560 ใหม่ล่าสุด!

$
0
0
Chatwalee Maitri

ระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2560

 
กรมสรรพากรออกระเบียบดังกล่าวขึ้นมาตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ และลดภาระในการเก็บเอกสารในรูปแบบกระดาษ
 
โดยระเบียบดังกล่าวออกมายกเลิกระเบียบเดิมของกรมสรรพากร  คือ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2555  และมีใจความที่สำคัญเปลี่ยนแปลงไป คือ
 
ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามมาตรา 77/1 (6) แห่งประมวลรัษฎากร หรือผู้มีหน้าที่ออกใบรับตามมาตรา 105 แห่งประมวลรัษฎากรกร ที่มีสิทธิยื่นคำขอต่ออธิบดี ไม่จำเป็นต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปก็ได้
 
ทั้งนี้ คุณสมบัติอื่นๆก็เป็นไปตามข้อ 7 ของระเบียบดังกล่าว
 
สามารถติดตามหลักเกณฑ์และรายละเอียดได้เพิ่มเติมที่:http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/newlaw/etaxinvoice_190660.pdf
 
 
 

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2560

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’s Tax Newsletter

 

 

ฉบับที่ 77 – 78  เดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2560

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ฯ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย

2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซ่อมแซมรถหรืออุปกรณ์ในรถที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย

3. ขยายกำหนดเวลายื่นงบการเงิน หรือบัญชีรายรับรายจ่ายฯ ให้แก่นิติบุคคล

4. กำหนดวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์อากร สำหรับการทำตราสารเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล

5. คำชี้แจงกรณีกำหนดให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ฯ เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์

6. สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนในอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC)

 

ข่าวภาษี

1. ขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้สำหรับวิสาหกิจชุมชน

2. ครม.เห็นชอบหลักการยกเว้นภาษี 3 เท่า รายจ่ายวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ฯ สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรม

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

            คำพิพากษาฎีกาที่ 5148/2559

            ระหว่าง              นาย ส.                                                  โจทก์

            กับ                    กรมสรรพากร                                         จำเลย

            เรื่อง                  เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน

           

 

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ฯ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย

            ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 298) ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารฯ หรือห้องชุด ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ซึ่งผู้ใช้สิทธิดังกล่าวต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินค่าซ่อมแซมดังกล่าวชัดแจ้ง

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/5RFdME

 

2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซ่อมแซมรถหรืออุปกรณ์ในรถที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย

            ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 299) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่ได้จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท เพื่อเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถหรืออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ซึ่งบุคคลธรรมดาดังกล่าวต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินค่าซ่อมแซมดังกล่าว

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/cxLS11

 

3. ขยายกำหนดเวลายื่นงบการเงิน หรือบัญชีรายรับรายจ่ายฯ ให้แก่นิติบุคคล

            ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่องการขยายกำหนดเวลาการยื่นบัญชีงบดุล บัญชีทำการฯ กำหนดให้ขยายเวลาเฉพาะการยื่นงบการเงินฯ ให้แก่นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีรอบบัญชีที่มีวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาในการยื่นงบการเงินฯ ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2560 โดยนิติบุคคลสามารถยื่นงบการเงินฯ ดังกล่าวได้ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 โดยไม่เสียค่าปรับทางอาญา จากเดิมต้องยื่นงบการเงินฯ ดังกล่าวภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบบัญชี ณ สรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/oAsI5Oและ https://goo.gl/8EtZ9K

 

4. กำหนดวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์อากร สำหรับการทำตราสารเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล

            ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 56) กำหนดวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินแทนแสตมป์อากรในตราสาร เช่น ใบมอบอำนาจให้ยื่นคำขอจดทะเบียนนิติบุคคล หนังสือบริคณห์สนธิหรือข้อบังคับของบริษัทจำกัดที่ส่งต่อนายทะเบียน, หนังสือสัญญาที่แก้ไขสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน และข้อบังคับของบริษัทจำกัด เป็นต้น

            ทั้งนี้ หากตราสารดังกล่าวจัดทำเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2560 เป็นต้นไป แต่สำหรับตราสารที่มิได้จัดทำขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป 

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/o5RA1n

 

5. คำชี้แจงกรณีกำหนดให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ฯ เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์

            ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 608 – 610) พ.ศ.2559 กำหนดให้การประกอบกิจการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฯ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2559 นั้น

            กรมสรรพากรได้ออกคำชี้แจ้งเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยชี้แจงรายละเอียดพร้อมทั้งยกตัวอย่างเกี่ยวกับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้

            1) การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าหรือให้บริการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฯ การใช้ภาษีซื้อสำหรับการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม การเฉลี่ยภาษีซื้อของกองทุนรวมฯ และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

            2) การเสียอากรแสตมป์สำหรับตราสารที่กระทำตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไป

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/6Yiox6

 

6. สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนในอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC)

            พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 640) พ.ศ.2560 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 และนิติบุคคลนั้นต้องไม่เรียกเก็บค่าเช่าอุปกรณ์ดังกล่าวจากผู้รับชำระเงินผ่านอุปกรณ์นั้น (ผู้ประกอบการร้านค้า)

            กรณีผู้ประกอบการร้านค้าที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล (SMEs) ที่ได้ใช้อุปกรณ์รับชำระเงินดังกล่าวให้ยกเว้นเงินได้ค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิตผ่านอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่ายค่าธรรมเนียมดังกล่าว

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

            ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก: https://goo.gl/jgJSfe

 

ข่าวภาษี

1. ขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้สำหรับวิสาหกิจชุมชน

            เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งมีเงินได้ไม่เกิน 1,800,000 บาท ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้  สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2562 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2559

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายประกาศกำหนดต่อไป

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/iWWXYhและ https://goo.gl/AwAt2t

 

2. ครม.เห็นชอบหลักการยกเว้นภาษี 3 เท่า รายจ่ายทำวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ฯ สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรม

            เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ.... เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลสำหรับ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล กลุ่มอุตสาหกรรมสาธารณสุข ฯ ให้สามารถนำค่าใช้จ่ายเพื่อการทำวิจัยและพัฒนาฯ มาหักเป็นรายจ่ายได้สูงสุด 3 เท่า เป็นระยะเวลา 3 รอบบัญชี สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2560 – 31 ธันวาคม 2562

            ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลดังกล่าวต้องไม่เกินกว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับสำหรับรายจ่ายเพื่อการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้แก่หน่วยงานของรัฐตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 598) พ.ศ.2559

            ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3639

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

คำพิพากษาฎีกาที่ 5148/2559

ระหว่าง              นาย ส.                                                  โจทก์

กับ                    กรมสรรพากร                                         จำเลย

เรื่อง                  เงินได้พึงประเมินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน

            เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะเหตุครบเกษียณอายุตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท น. และได้รับเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเมื่อออกจากงานรวมทั้งสิ้นจำนวน 3,118,040 บาท โดยหนังสือแจ้งการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานและเงินบำเหน็จของบริษัท น. ซึ่งเงินได้ดังกล่าวแยกเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานจำนวน 1,792,000 บาท และเงินบำเหน็จจำนวน 1,326,040 บาท

            เงินจำนวน 1,792,000 บาท จ่ายตามข้อบังคับการทำงาน ในกรณีพนักงานที่ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป และคำนวณจากอัตราเงินเดือนสุดท้ายเป็นระยะเวลา 300 วัน ซึ่งวิธีการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา 118 (5) แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 อีกทั้งเป็นเงินที่โจทก์ได้รับเมื่อเกษียณอายุอันเป็นการเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้กระทำความผิดตามความหมายของมาตรา 118 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 45) ข้อ 1 (ค) แล้ว

            การที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยนำเงินได้จำนวนดังกล่าวทั้งจำนวนมาลงรายการเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานในข้อ ก.3 และนำมาคำนวณค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 45) จึงชอบด้วยมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)

 

ความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเติม

            ในกรณีเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน และเป็นเงินที่ให้เนื่องจากการทำงานที่มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้มีเงินได้สามารถเลือกไม่ต้องนำเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานไปรวมคำนวณกับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) หรือ (2) ก็ได้ และให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้จำนวน 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน แต่จะต้องไม่เกินเงินจำนวนดังกล่าว เหลือเท่าใดยังให้หักค่าใช้จ่ายได้อีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้นซึ่งเป็นไปตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 1 (ค) และข้อ 2 (ก) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)

            เดิมกรมสรรพากรมีความเห็นว่า ในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุและข้อบังคับของนายจ้างได้กำหนดให้ลูกจ้างได้รับเงินได้รับเงินพิเศษโดยมีวิธีการคิดคำนวณซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 นั้น เงินจำนวนดังกล่าวซึ่งเป็นเงินได้ของลูกจ้างที่ไม่อาจถือเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานตามข้อ 1 (ค) แต่ถือเป็นเงินได้ที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และถือเป็นเงินได้ตามข้อ 1 (ง) แห่งประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)

            เมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้นปรากฏว่า โจทก์ทำงานมากกว่า 10 ปี โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเมื่อออกจากงานจำนวน 3,118,040 บาท โดยแบ่งเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานจำนวน 1,7920,000 บาท และเงินบำเหน็จจำนวน 1,326,040 บาทนั้น

            ผู้เขียนเห็นว่า การที่ศาลมีคำพิพากษาให้เงินจำนวน 1,7920,000 บาทนั้น โดยมีวิธีการจ่ายเงินซึ่งเป็นไปตามมาตรา 118 (5) แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ถือเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้เมื่อลูกจ้างเกษียณอายุอันเป็นการเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิด จึงถือได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานจึงชอบแล้ว นอกจากนี้ ผู้เขียนยังมีความเห็นไปในทางเดียวกับศาลฎีกาว่า ในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดและได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานนั้น ไม่ควรจำกัดเฉพาะกรณีที่นายจ้างเลิกกิจการ หรือยุบแผนก แต่จะต้องหมายความรวมถึงกรณีลูกจ้างเกษียณอายุหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างด้วย เพราะหากไม่รวมถึงเงินเลิกจ้างเนื่องจากเกษียณอายุแล้วก็ย่อมเป็นการจัดเก็บภาษีอย่างไม่เท่าเทียมกันโดยปราศจากอำนาจของกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าการคำนวณภาษีและการใช้สิทธิแยกยื่นภาษีโดยไม่รวมกับเงินได้ตามมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45)

            อนึ่ง เงินชดเชยหรือค่าชดเชย หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง

 

ธนินท์รัฐ เหลืองถาวรพจน์

 

            หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/2 อาคารภักดี ชั้น 2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, chatwaleem [at] dlo.co.th

 

บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

สุนทรี จุงเลียก

+662 680-9753

soontreej [at] dlo.co.th

ราชศักดิ์ กุลกัลยา

+662 680-9753

ratchasakk [at] dlo.co.th

ชัยศิริ ลิ่วสัมฤทธิ์

+662 680-9708

chaisiril [at] dlo.co.th

 

 

 

 

 

 

 

สัมมนาพิเศษให้แก่ลูกค้าในหัวข้อ “การวางแผนภาษีที่ผู้บริหารต้องรู้ และ Update กฎหมายภาษีใหม่ที่สำคัญต่อกิจการ”

$
0
0
กองบรรณาธิการ

ด้วยบริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด ได้เชิญลูกค้าของบริษัท เดินทางมาเยี่ยมชมบริษัทในโอกาสย้ายสำนักงานแห่งใหม่ และรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อ "การวางแผนภาษีที่ผู้บริหารต้องรู้ และอัพเดดกฏหมายภาษีใหม่ที่สำคัญต่อกิจการ" ในวันที่ 28-29 มิถุนายน 2560 เวลา 13.30-16.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารภักดี ชั้น 2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330  โดยในวันที่ 28 มิถุนายน 2560 คุณนพคุณ พุ่มทองตรู รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด  ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนาในครั้งนี้

 

คุณชัชวลี ไมตรี และคุณสุนทรี จุงเลียก ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษีอากรได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการบรรยาย

 

สิทธิประโยชน์หักรายจ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่ม 1.5 เท่า

$
0
0
Budhima Kerdsiri

ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 เห็นชอบขยายเวลามาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศตามที่กระทรวงการคลังเสนอออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560 ขณะนี้ได้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ.2560 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยมีการปรับเงื่อนไขบางส่วนในเรื่องของจำนวนการหักรายจ่ายจากเดิม 2 เท่า เหลือ 1.5 เท่า  สำหรับรายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อการลงทุนในทรัพย์สิน โดยให้หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า ให้แก่บริษัทที่มีการจ่ายเงินลงทุนในทรัพย์สินประเภท

     - เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์

     - โปรแกรมคอมพิวเตอร์

     - ยานพาหนะที่มิใช่รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารไม่เกิน 10 ที่นั่ง ยกเว้นเพื่อนำออกให้เช่า

     - อาคารถาวรแต่ไม่รวมที่ดินและที่อยู่อาศัย

ทรัพย์สินที่จะนำมาหักรายจ่าย 1.5 เท่าตามมาตรการภาษีนี้ จะต้องเป็น

     - ทรัพย์สินใหม่ที่มีการจ่ายเงินลงทุนในปี 2560 และพร้อมใช้งานภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เว้นแต่เครื่องจักรและอาคารถาวรจะพร้อมใช้งานหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ก็ได้ นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดความหมายของเครื่องจักรไว้ในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ และแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 โดยพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 643) พ.ศ.2560 ดังนี้

     “เครื่องจักร” หมายความว่า สิ่งที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้นสําหรับใช้ก่อกําเนิด พลังงาน เปลี่ยน หรือแปลงสภาพพลังงาน หรือส่งพลังงาน ทั้งนี้ ด้วยกําลังน้ำ ไอน้ำ เชื้อเพลิง ลม ก๊าซ ไฟฟ้า หรือ พลังงานอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันและหมายความรวมถึงเครื่องอุปกรณ์ ไฟลวีล ปุลเลสายพาน เพลา  เกียร์ หรือสิ่งอื่นที่ทํางานสนองกัน แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้น ๆ

     - กรณีที่เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้สิทธิหักรายจ่าย 2 เท่าตามมาตรการภาษีของเดิมที่สิ้นสุดไปแล้ว แต่ยังจ่ายเงินลงทุนไม่ครบถ้วนและมาจ่ายต่อในปี 2560 ก็ได้รับสิทธิหักรายจ่าย 1.5 เท่าตามมาตรการภาษีนี้ได้ ทั้งนี้ ต้องมีการจัดทำโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงินให้กรมสรรพากรทราบด้วย

ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา

ลดภาษีเงินได้ให้บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก)

$
0
0
Budhima Kerdsiri

 

สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 เพื่อส่งเสริมให้พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน โดยจูงใจให้บุคลากรผู้มีความสามารถสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาทำงานในพื้นที่ดังกล่าว สมควรลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานในพื้นที่ดังกล่าว จึงได้มีการออก พระราชกฤษฎีกา   (ฉบับที่ 641) พ.ศ. 2560

สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายดังนี้

(1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

(3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

(4) อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ

(5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร

(6) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์

(7) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์

(8) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ

(9) อุตสาหกรรมดิจิตอล

(10) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร

 

โดยลดอัตราภาษีเงินได้ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย เหลืออัตราร้อยละ 17ของเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งมีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง โดยผู้มีเงินได้ไม่ต้องนําเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้  

ซึ่งผู้มีเงินได้ที่ได้รับจากนิติบุคคลที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา

 


เข้าใจรายจ่ายเพื่อการลงทุน 1.5 เท่า ลดความวุ่นวายไม่ถูกประเมินภาษี

$
0
0
Budhima Kerdsiri

สิทธิประโยชน์ทางภาษีหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มได้ 2 เท่าตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559 หมดลงไปแล้วแต่ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 ให้หักรายจ่ายดังกล่าวเพิ่มเพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการลงทุนกระตุ้นให้เศรษฐกิจจึงได้ขยายเวลาให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 1.5 เท่าตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีเงื่อนไข ดังนี้

ประเภททรัพย์สินที่ลงทุน 

(1) เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์

(2) โปรแกรมคอมพิวเตอร์

(3) ยานพาหนะที่จดทะเบียนในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้นๆ แต่ไม่รวมถึงรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่มิใช่ได้มาเพื่อนําออกให้เช่า

(4) อาคารถาวร แต่ไม่รวมถึงที่ดินและอาคารถาวรที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย

โดยต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2560 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกําหนดต่อไป

นอกจากนี้ พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ.2560 ยังได้เพิ่มความหมายของเครื่องจักรไว้เพื่อให้การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้

เครื่องจักร” หมายความว่า สิ่งที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้นสําหรับใช้ก่อกําเนิด พลังงาน เปลี่ยน หรือแปลงสภาพพลังงาน หรือส่งพลังงาน ทั้งนี้ ด้วยกําลังน้ำ ไอน้ำ เชื้อเพลิง ลม ก๊าซ ไฟฟ้า หรือ พลังงานอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันและหมายความรวมถึงเครื่องอุปกรณ์ ไฟลวีล ปุลเล สายพาน เพลา เกียร์ หรือสิ่งอื่นที่ทํางานสนองกันแต่ไม่รวมถึงยานพาหนะที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้น ๆ

ซึ่งความหมายดังกล่าวยังถูกนำไปใช้กับการให้สิทธิประโยชน์ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 อีกด้วย[1] 

กรณีเครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หากได้ซื้อทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้นมาไว้เพื่อใช้ในการประกอบกิจการ และเป็นไปตามกรอบและหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดแล้ว ท่านย่อมสามารถหักรายจ่ายได้เพิ่ม 0.5 เท่า โดยคาดว่าหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดตามมาคือการเฉลี่ยหักตามงวดปี (3 ปี 5 ปี และ 20 ปี ดังเช่นหลักเกณฑ์ตามที่ปรากฏในประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 266))  

สำหรับยานพาหนะนั้น ต้องเป็นยานพาหนะที่จดทะเบียนในประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้นๆ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ซึ่งต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก เรือซึ่งต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นต้น แต่กรณีที่จะได้รับสิทธิหักรายจ่ายเพิ่ม 0.5 เท่านี้จะไม่รวมถึงรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ยกเว้นกรณีนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจให้เช่ารถยนต์ทั้งหมด

กรณีอาคารถาวร แต่ไม่รวมถึงที่ดินและอาคารถาวรที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย และไม่ให้สิทธิหักรายจ่ายเพิ่ม 0.5 เท่าสำหรับการซื้ออาคารหรือเช่าซื้ออาคาร

ช่วงเวลาที่ต้องจ่ายลงทุน

ต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2560 ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกําหนดซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรจะออกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจนอีกครั้งต้องติดตามรายละเอียดต่อไปผู้เขียนคาดว่าหลักเกณฑ์ใหม่น่าจะไม่แตกต่างจากหลักเกณฑ์ตามประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่  266) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 300) มากนัก

คุณลักษณะของทรัพย์สินที่จะลงทุน

กฎหมายได้กำหนดลักษณะของทรัพย์สิน ที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์หักรายจ่ายเพื่อการลงทุนได้เพิ่ม 0.5 เท่าต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

(1) ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน กรณีนี้ต้องเรียกว่าเป็นทรัพย์สินใหม่แกะกล่อง  

(2) ต้องสามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องได้ทรัพย์สินนั้นมาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้การได้ตามประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เว้นแต่ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร และอาคารถาวร ที่อาจได้มาหรืออยู่ในสภาพพร้อมใช้การตามประสงค์ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ก็ได้

(3) ต้องอยู่ในราชอาณาจักร ยกเว้นให้เฉพาะแต่ยานพาหนะ 

(4) ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559

(5) ไม่เป็นทรัพย์สินที่นําไปใช้ในกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เว้นแต่เป็นการนําไปใช้ในโครงการตามมาตรการเร่งรัดการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนจริงและเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิประโยชน์นั้น

ข้อกำหนดใหม่

ผู้สนใจใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ จะต้องดําเนินการดังนี้

(1) จัดทําโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงิน และแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาที่อธิบดีประกาศกําหนด

(2) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดลงทุน หรือต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออกหรือทําให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร และได้รับสิทธิตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559 แล้ว แต่การจ่ายเงินเพื่อการลงทุนดังกล่าว ยังไม่ได้จ่ายให้ครบถ้วนตามจํานวนที่ตกลงกันไว้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น จะต้องแจ้งแผนการจ่ายเงินที่จะจ่ายระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ต่ออธิบดีกรมสรรพากร โดยไม่จําต้องแจ้งโครงการลงทุนตาม (1) ก็ได้

อีกทั้งยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการสิ้นสิทธิ ซึ่งเบื้องต้นคาดหมายได้ว่าน่าจะคล้ายคลึงกันกับหลักเกณฑ์ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 266) กล่าวคือให้หักรายจ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่ม 0.5 เท่าโดยให้หักเฉลี่ยตามระยะเวลาที่เริ่มใช้สิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามประเภททรัพย์สินและระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้หากได้ขายทรัพย์สินหรือทรัพย์สินนั้นถูกทำลาย หายหรือสิ้นสภาพไปก็สิ้นสิทธิหักรายจ่ายเพื่อการลทุนเพิ่ม 0.5 เท่าไปในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ขายทรัพย์สินหรือทรัพย์สินนั้นถูกทำลาย หายหรือสิ้นสภาพแล้วแต่กรณี

 ทำอย่างไรเมื่อสิ้นสิทธิประโยชน์หรือต้องการใช้สิทธิย้อนหลัง

กรณีนี้เป็นข้อสำคัญที่ผู้ที่ประสงค์จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีต้องพึงระวัง เพราะหากไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ฝ่าฝืนเงื่อนไขในรอบระยะเวลาบัญชีใดกฎหมายก็กำหนดให้สิทธิที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้สิ้นสุดลง เสมือนไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ในกรณีสิ้นสิทธินั้นมีข้อยกเว้นที่ไม่ต้องเสียภาษีย้อนหลัง หากเป็นกรณีดังนี้

1. มีการขายทรัพย์สินหรือ

2. ทรัพย์สินถูกทําลายหรือ

3. สูญหายหรือ

4. สิ้นสภาพ

ให้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ขายทรัพย์สินหรือทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือสูญหายหรือสิ้นสภาพ แล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องนําเงินได้ที่ได้รับจากการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้รับแล้วไปรวมเป็นรายได้ในการคํานวณกําไรสุทธิอีก

สำหรับรายละเอียดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่จะออกตามความในมาตรา 3 วรรคสอง  มาตรา 5 และมาตรา 6 ของพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ.2560 ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจากยังไม่มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรกำหนดรายละเอียดออกมา แต่ผู้เขียนจะขอนำเสนอหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการยกเว้นเงินได้ที่อธิบดีกำหนดตามความในมาตรา 3 วรรคสองและมาตรา 5 ของพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559  เพราะคาดหมายว่าน่าจะใช้หลักเกณฑ์ที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันแต่จะมีการเพิ่มเติมกรณีการหักรายจ่ายต่อเนื่องจากพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 ที่จ่ายไม่ทันภายในปี 2559 แต่เมื่อมาจ่ายในปี 2560 คาดว่าจะมีหลักเกณฑ์รองรับให้หักรายจ่ายส่วนนี้เพิ่มเติมได้โดยใช้สิทธิประโยชน์ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ.2560 

เนื่องจากรายจ่ายลงทุนตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 ภาคแรกมีการแก้ไขหลักเกณฑ์การหักรายจ่ายลงทุนประเภทอาคารกล่าวคือประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 266) แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 300) (ถูกแก้ไขเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560) ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มอีก 1 เท่าตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559  (ฉบับเดิม)  ให้สิทธิผู้ที่มีการขอใบอนุญาตก่อสร้าง หรือแจ้งก่อสร้างดัดแปลงอาคารต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 แล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตามที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างหรือได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างดัดแปลงอาคารดังกล่าว ต่อมาจึงมาดำเนินการทำสัญญาจ้าง หรือสั่งซื้อสั่งจ้างในช่วงที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 มีผลใช้บังคับ (3 พฤศจิกายน 2558 – 31 ธันวาคม 2559) ไม่ว่าอาคารจะสร้างเสร็จในปี 2559 หรือไม่ แต่ได้จ่ายรายจ่ายเพื่อการลงทุนไประหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 – 31 ธันวาคม 2559 ก็จะได้รับสิทธิหักรายจ่ายเพิ่ม 1 เท่า รวมเป็น 2 เท่าตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 เช่นกัน นับเป็นการช่วยเพิ่มความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ลงทุนจริงในช่วงเวลาดังกล่าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเท่าเทียมกัน

ดังนั้นหากท่านสนใจจะใช้สิทธิประโยชน์ดังกล่าว ท่านต้องขอคืนภาษีเงินได้ในปีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.50 เพิ่มเติม ซึ่งท่านต้องไม่ลืมเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการตรวจสอบภาษีจากเจ้าหน้าที่สรรพากรด้วย เพราะมิเช่นนั้นแล้วท่านอาจจะต้องเสียภาษีเพิ่มมากกว่าที่ได้ยื่นขอคืนภาษีดังกล่าวไว้ก็เป็นได้

มาตรการส่งเสริมให้มีการจ่ายลงทุนในปี 2560 เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่ม 0.5 เท่านี้ได้เพิ่มความชัดเจนเรื่องต่าง ๆ เช่น ความหมายของเครื่องจักร การให้สิทธิประโยชน์หักรายจ่ายต่อเนื่องจากพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 ที่จ่ายในปี 2560 ผู้ที่สนใจลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอาจต้องเร่งการตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ควรต้องระมัดระวังในการลงทุนให้ดีเพราะการก่อสร้างโดยจ่ายค่าก่อสร้างล่วงหน้าจำนวนมากๆ เพื่อเร่งใช้สิทธิประโยชน์ในทางภาษี ท่านอาจประสบปัญหาอื่น ก็เป็นได้

  

สนใจบริการด้านที่ปรึกษาภาษี  Tax review กรุณาสอบถามรายละเอียดบริการเพิ่มเติมได้ที่

 02 - 6809708, 02 - 6809760, 02 - 6809753




[1]พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 643) พ.ศ.2560 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559

สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการใช้เครื่อง EDC

$
0
0
Budhima Kerdsiri

การติดตั้งเครื่อง EDC ไม่ได้มีประโยชน์ในการรองรับความต้องการของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการเงินสด รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดการทุจริต นอกจากนี้ รัฐบาลยังกำหนดสิทธิประโยชน์ในทางภาษีและจัดให้มีเครื่องมือส่งเสริมให้มีการใช้เครื่อง EDC โดยออกพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 640) พ.ศ.2560 กำหนดเป็นหลักเกณฑ์โดยสรุปได้ดังนี้

 

ลักษณะของเครื่อง EDC

1.เป็นอุปกรณ์รับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามโครงการลงทุนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติหรือผู้ที่คณะกรรมการดังกล่าวมอบหมาย และได้ใช้จริงในโครงการดังกล่าว

2.ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน

3.เป็นอุปกรณ์ที่หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินได้ และอยู่ในสภาพพร้อมใช้การได้ตามวัตถุประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561

4.ต้องมีการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี นับแต่วันที่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้การได้ตามวัตถุประสงค์ เว้นแต่ถูกทําลาย สูญหาย หรือสิ้นสภาพ

5.ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน (กรณีนี้หมายความว่าห้ามใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีซ้ำซ้อน)

6.ไม่เป็นทรัพย์สินที่นําไปใช้ในกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

 

สิทธิประโยชน์ทางภาษี

1.ด้านธนาคารเจ้าของเครื่อง EDC

เมื่อเครื่องเข้าลักษณะตามที่กล่าวมาข้างต้น ธนาคารเจ้าของเครื่องจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยสามารถคำนวณกำไรสุทธิโดยหักรายจ่ายได้อีก 1 เท่าสำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าลงทุนในเครื่อง EDC โดยธนาคารต้องจ่ายลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 – 31 ธันวาคม 2561 และธนาคารต้องไม่เรียกเก็บค่าเช่าเครื่อง EDC นั้น และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรจะประกาศกำหนดต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากธนาคารเจ้าของเครื่อง EDC ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้วต่อมาไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดในรอบบัญชีใด สิทธิที่จะได้รับยกเว้นย่อมสิ้นสุดลง และธนาคารจะต้องไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมโดยนำรายจ่ายที่เคยใช้สิทธิหักเพิ่มดังกล่าวไปถือเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นนั้น ยกเว้นกรณีเครื่อง EDC ถูกทำลาย สูญหาย หรือสิ้นสภาพ

โดยธนาคารผู้มีสิทธิให้บริการประกอบ ด้วย 1) ธนาคารกรุงไทย 2) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

3) ธนาคารทหารไทย 4) ธนาคารไทยพาณิชย์ 5) ธนาคารธนชาติ 6) ธนาคารกรุงเทพ และ 7) ธนาคารกสิกรไทย

2.ด้านร้านค้าผู้ใช้บริการเครื่อง EDC

ร้านค้าผู้ใช้บริการเครื่อง EDC จากธนาคารจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากจำนวนรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมการใช้เครื่อง EDC สำหรับการรูดบัตรเดบิตตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 – 31 ธันวาคม 2564 ดังนี้

2.1 บุคคลธรรมดา มีเงินได้จากการให้เช่า วิชาชีพอิสระ ก่อสร้าง หรือธุรกิจการพาณิชย์ฯ อื่นๆ รวมกันไม่เกิน 30 ล้านบาทในปีภาษีที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้

 2.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้าน และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้

อย่างไรก็ดี บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นร้านค้าจะสิ้นสิทธิ หักรายจ่ายค่าธรรมเนียมเครื่อง EDC เพิ่มทันทีและตลอดไป หากรอบบัญชีใดมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเกิน 5 ล้านบาท หรือมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการเกิน 30 ล้านบาท

ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

 

 

ติดตามสาระความรู้ฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับเครื่อง EDC ได้จากบทความ มองกฎหมายให้ทะลุ มองธุรกิจให้ทะลวง “EDC ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีต้องมีหรือไม่” โดยคุณพุทธิมา เกิดศิริ

(วารสารเอกสารภาษีอากร ปีที่ 36 ฉบับที่ 430 เดือนกรกฎาคม 2560 หน้า 89-97)

 

แจ้งโครงการ/แผนจ่ายเงิน (รายจ่ายเพื่อการลงทุน) ทางเว็บไซต์ของสรรพากรได้แล้ว !!!

$
0
0
Chatwalee Maitri

ในวันนี้ ท่านสามารถแจ้งโครงการลงทุนและแผนการลงทุน หรือ แผนการจ่ายเงิน ทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร คือhttp://interapp4.rd.go.th/investment/login/index.phpเพื่อใช้สิทธิลงรายจ่ายเพื่อการลงทุนได้เพิ่ม 0.5 เท่า ตามพระราชกฤษฎีกา ฯ ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร  (ฉบับที่ 642) พ.ศ. 2560 และรายจ่ายต่อเนื่องตามพระราชกฤษฎีกา ฯ ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 604) พ.ศ. 2559 ได้เพิ่ม 0.5 เท่า

วิธีเข้าสู่ระบบ เพียงกรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร วันที่จดทะเบียนนิติบุคคล และชื่อผู้ประกอบการเท่านั้น ท่านก็สามารถบันทึกรายการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดได้ทันที

ทั้งนี้ ท่านยังคงมีหน้าที่จัดทำรายงานแสดงรายละเอียดของทรัพย์สินที่ใช้สิทธิยกเว้น โดยต้องมีรายการและข้อความตามที่ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 304) กำหนด และเก็บรักษารายงานดังกล่าว รวมถึงเอกสารประกอบการลงรายการในรายงานไว้ที่สถานประกอบการของท่าน โดยพร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้

 

รายละเอียดเพิ่มเติม:

1. พระราชกฤษฎีกา ฯ ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร  (ฉบับที่ 642) พ.ศ. 2560

2. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 304) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนหรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม 2560

$
0
0
กองบรรณาธิการ

จดหมายข่าวภาษีสำนักกฎหมายธรรมนิติ

DLO’s Tax Newsletter

 

 

ฉบับที่ 79-80 เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม 2560

                                   

กฎหมายใหม่ล่าสุด

            1. ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้จากนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ภาคตะวันออก)

            2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ 1.5 เท่า และแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ 2 เท่า

            3. กรมสรรพากรออกระเบียบใหม่ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์

            4. หลักเกณฑ์การลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ภาคใต้)

            5. เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้ของนิติบุคคลสำหรับกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย

            6. เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้ของนิติบุคคลสำหรับกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย

 

ข่าวภาษี

            1. ภาษีลาภลอย

            2. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร กรณีประกอบกิจการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e - Business)

            3. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร กรณี Transfer Pricing

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

 

            คำพิพากษาฎีกาที่ 5230/2559

            ระหว่าง             นาย ป.                                                                          โจทก์

            กับ                    กรมสรรพากร                                                                จำเลย               

            เรื่อง                 สัญญาจ้างทำของ

 

 

กฎหมายใหม่ล่าสุด

1. ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้จากนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ภาคตะวันออก)

            พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 641) พ.ศ.2560 กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้มีเงินได้ (ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญหรือลูกจ้าง) เหลืออัตราร้อยละ 17 ของเงินได้ที่ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายอยู่ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง และผู้มีเงินได้ยังได้รับสิทธิยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ที่ถูกหักภาษีไว้แล้วดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปี โดยต้องไม่ขอคืนภาษีหรือไม่ขอเครดิตภาษีที่ถูกหักไว้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน 

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

            ติดตามรายละเอียดจาก  https://goo.gl/WQrPzS

 

2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ 1.5 เท่า และแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ 2 เท่า

            ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ แต่ต้องไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมเป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559

            ต่อมาพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ.2560 กำหนดให้ขยายเวลาการหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนฯ ได้อีก 1 ปี พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการยกเว้นรายจ่ายเพื่อการลงทุนจาก 2 เท่า เหลือเพียง 1.5 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560

            โดยพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 642) พ.ศ.2560 ได้กำหนดให้ความหมายของคำว่า “เครื่องจักร” ไว้และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ในพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559

            ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 300) ได้แก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขการหักรายเพื่อการลงทุนฯ ดังกล่าว โดยให้สิทธิผู้ที่ขอใบอนุญาตและแจ้งก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 แล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตามที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างหรือได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างดัดแปลงอาคารดังกล่าว ต่อมาจึงดำเนินการทำสัญญาจ้างหรือสั่งซื้อสั่งจ้างในช่วงที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 604) พ.ศ.2559 มีผลใช้บังคับก็จะได้รับสิทธิ์หักรายจ่ายเพื่อการลงทุน 2 เท่า           

            ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

            ติดตามรายละเอียดจาก  https://goo.gl/XAuZqwและ https://goo.gl/nPnckT

 

3. กรมสรรพากรออกระเบียบใหม่ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์

             ระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการจัดทำ ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2560 ได้ยกเลิกระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการจัดทำดังกล่าว ฯ พ.ศ.2555 ฉบับเดิม โดยมีการปรับปรุงเงื่อนการจัดทำฯ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้

            1) ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลสามารถยื่นคำขอจัดทำฯ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ได้ จากเดิมต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 10 ล้านบาท

            2) ผู้ยื่นคำขอดังกล่าวมีทุนจดทะเบียนเท่าใดก็ได้

            3) ต้องส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กรมสรรพากรเป็นรายเดือนภาษี โดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในวันที่ 15 ของเดือนภาษีถัดไป จากเดิมจัดส่งข้อมูลภายในวันที่ 25 ของเดือนภาษีถัดไป เป็นต้น

            ติดตามรายละเอียดจาก  https://goo.gl/x5tVZy

 

4. หลักเกณฑ์การลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการประกอบกิจการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ภาคใต้)

            ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 5) ยกเลิกข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 4) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ตามพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 630) พ.ศ.2560 เป็นผลให้บุคคลธรรมดาและบริษัทที่จัดตั้งใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เพิ่มเติมใหม่มีรายละเอียดดังนี้

            1) ต้องเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ (เดิมไม่จำกัดทรัพย์สิน)

            2) ต้องโอนที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น หรือราคาต้นทุนการซื้อที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่บุคคลผู้โอนได้ซื้อมาตามหลักฐานสัญญาซื้อขายที่ได้ทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า (จากเดิมโอนตามราคาตลาด)

            ติดตามรายละเอียดจาก https://goo.gl/GMF6sy

 

5. เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้ของนิติบุคคลสำหรับกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย (จังหวัดในภาคใต้)

            ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 628) พ.ศ.2560 กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง(แรงงานฝีมือ, ผู้เชี่ยวชาญ) ที่ได้รับเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน และยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายจริงสำหรับเงินลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วน สำหรับการประกอบธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจนั้น (จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา)

            ต่อมาประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 294) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้

            1) กรณีลูกจ้าง

                 - ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เว้นแต่ลูกจ้างที่เป็นแรงงานฝีมือจะสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงหรือวิชาชีพเทคนิคก็ได้

                 - หากทำงานในสายงานตรงกับวุฒิการศึกษา ต้องมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี เว้นแต่ทำงานในสายงานอื่นที่ไม่ตรงสายต้องมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 8 ปี และต้องมีหนังสือรับรองการทำงานดังกล่าว

            2) กรณีนิติบุคคล

                 - ต้องไม่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีก่อนการลงทุนนั้น

                 - ต้องไม่ขายหรือโอนหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนของนิติบุคคลดังกล่าว เว้นแต่มีเหตุอันสมควร

            ติดตามรายละเอียดจาก https://goo.gl/S746Gjและ https://goo.gl/YXYHz6

 

6. เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้ของนิติบุคคลสำหรับกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย

            ตามที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 637) พ.ศ.2560 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชีนั้น

            ต่อมาประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 302) กำหนดให้นิติบุคคลที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าว ต้องมีคุณสมบัติและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เพิ่มเติมดังนี้

            1) ต้องยื่นคำร้องขออนุมัติเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start - up) (ร.ม.1) ต่ออธิบดีกรมสรรพากรผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากรและได้รับอนุมัติคำร้องดังกล่าวภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561

            2) หากประสงค์จะเพิ่มกิจการหรือประเภทหรือบริการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ต้องยื่นคำขอตามแบบ (ร.ม.2) ต่ออธิบดีกรมสรรพากร ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร

            ทั้งนี้ หากนิติบุคคลดังกล่าวมีรายได้จากการประกอบกิจการทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของแต่ละกิจการแยกกัน และหากมีรายจ่ายที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ให้เฉลี่ยรายจ่ายดังกล่าวตามสัดส่วนรายได้ของแต่ละกิจการ

            ติดตามรายละเอียดจาก https://goo.gl/cxpBWSและ https://goo.gl/S4xB36

 

ข่าวภาษี

1. ภาษีลาภลอย

            ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างเสนอร่าง พ.ร.บ.ภาษีลาภลอยให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ โดยภาษีลาภลอยนั้นจะมีการจัดเก็บภาษีจากส่วนต่างของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้า เป็นต้น

            ติดตามรายละเอียดได้จาก https://goo.gl/qdzCwC

 

2. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร กรณีประกอบกิจการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e - Business)

            กรมสรรพากรเปิดเผยว่ามีแผนจะจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ..... โดยมีรายละเอียดดังนี้

            1) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

                 1.1) นิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทย

                 หากใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย กรณีต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเงินได้นั้นในประเทศไทย หากมีการใช้โดเมนท้องถิ่นของไทย มีการสร้างระบบการชำระเงินเป็นสกุลไทยหรือมีการโอนเงินจากประเทศไทย ฯ

                 1.2) นิติบุคคลที่มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย

                 หากได้รับเงินได้จากค่าโฆษณาออนไลน์ ค่าใช้พื้นที่ในเว็บไซต์ ฯ ให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 และนำส่งกรมสรรพากร

                 2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

                 หากนิติบุคคลต่างประเทศดังกล่าวมีเงินได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย นอกจากนี้หากมีการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นของผู้อื่น กำหนดให้ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นดังกล่าวนั้นเป็นตัวแทนยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแทนนิติบุคคลดังกล่าว และให้มีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดเช่นเดียวกับนิติบุคคลดังกล่าว

            ทั้งนี้ โปรดติดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป 

            ติดตามรายละเอียดได้จาก  https://goo.gl/NKQcWj

 

3. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากร กรณี Transfer Pricing

            กระทรวงการคลังได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่....) พ.ศ..... เพื่อป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยเพิ่มมาตรา 35 ตรี มาตรา 71 ทวิ และมาตรา 71 ตรี โดยมีรายละเอียดดังนี้

            1) เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจปรับปรุงรายได้และรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันดังกล่าวให้เป็นไปตามราคาตลาดได้

            2) นิติบุคคลดังกล่าวมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ปรับปรุงตามข้อ 1) ได้ภายใน 3 ปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษี หรือภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการปรับปรุงจากเจ้าพนักงานดังกล่าว

            3) เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจแจ้งให้ยื่นเอกสารหรือหลักฐานแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับวิเคราะห์การกำหนดราคาโอนของธุรกรรมระหว่างกันได้ โดยนิติบุคคลต้องยื่นเอกสารฯ ดังกล่าวภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นสามารถขยายเวลาได้ไม่เกิน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ หากฝ่าฝืนต้องระหว่างโทษปรับทางอาญาไม่เกิน 200,000 บาท เป็นต้น 

            ทั้งนี้ โปรดติดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป 

            ติดตามรายละเอียดได้จาก  https://goo.gl/VSRTxQและ https://goo.gl/mA98tN

 

คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

 

คำพิพากษาฎีกาที่ 5230/2559

ระหว่าง             นาย ป.                                                                          โจทก์

กับ                    กรมสรรพากร                                                                จำเลย               

เรื่อง                 สัญญาจ้างทำของ

 

            โจทก์ทำสัญญารับจ้างปลูก ดูแลสวนยางให้กับบริษัท พ. กำหนดว่า ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างให้ผู้รับจ้าง รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบท้ายสัญญา ซึ่งมีข้อความว่า ระยะปลูก 76 ต้นต่อไร่  พื้นที่ 1,000 ไร่และมีหมายเหตุต่อท้ายว่า หากผู้ว่าจ้างจัดทำพันธุ์ยางได้ไม่ครบตามข้อตกลง ผู้รับจ้างสงวนสิทธิในการจัดหาในราคาต้นละ 15 บาท แสดงว่าสัญญาจ้างดูแลสวนยางระหว่างโจทก์กับบริษัท พ. มุ่งถึงผลสำเร็จของการปลูกจนแล้วเสร็จไปเป็นสำคัญ อีกทั้งตามสัญญา ข้อ 2 ยังกำหนดให้โจทก์ดำเนินการบำรุงรักษาสวนยาง ปราบวัชพืช ใส่ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่ง ทำการป้องกันไฟฤดูแล้ง โดยโจทก์เป็นผู้จัดหาคนงาน สัมภาระที่ใช้ในการบำรุงดูแลรักษาสวนยาง รวมถึงเป็นผู้จัดหาคนงาน และทั้งนี้ตามคำแนะนำของสถาบันวิจัยยาง ตามหลักวิชาการเกษตร และโดยสัญญามีกำหนด 3 ปี จะเห็นได้ว่า ไม่มีข้อสัญญาใดระบุว่าโจทก์ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบริษัท พ. ซึ่งอำนาจควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้างเป็นสาระสำคัญของสัญญาจ้างแรงงานนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับบริษัท พ. จึงหาใช่สัญญาจ้างแรงงานไม่ ดังนั้น ที่เจ้าพนักงานของโจทก์และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท พ. เป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากรจึงชอบแล้ว

 

ความเห็นทางกฎหมาย

 

            สัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของแม้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างต่างต้องทำงานให้แก่นายจ้างหรือผู้ว่าจ้าง และนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายสินจ้างเป็นการตอบแทน แต่สาระสำคัญที่อาจใช้แบ่งแยกความต่างระหว่างสัญญาทั้งสองประเภท คือ สัญญาจ้างแรงงานนั้น นายจ้างมีสิทธิที่จะบังคับบัญชา มอบหมายหรือควบคุมการทำงานของลูกจ้าง ส่วนสัญญาจ้างทำของเป็นสัญญาที่มุ่งถึงผลสำเร็จของงานเป็นสาระสำคัญ โดยผู้ว่าจ้างไม่อาจบังคับบัญชาผู้รับจ้างได้ ซึ่งพิจารณาได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบคำพิพากษาฎีกา

            นอกจากนี้ หากพิเคราะห์จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานประกอบ คำว่า “จ้างทำของ” หมายความว่า (กฎ) น. ชื่อสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น

            “จ้างแรงงาน” หมายความว่า (กฎ) น. ชื่อสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้

            แต่ในด้านของภาษีอากรนั้น จะต้องพิจารณาหลักเนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ (Substance Over Form) ประกอบด้วย กล่าวคือ สัญญาใดแม้จะทำขึ้นตามรูปแบบของกฎหมาย แต่ถ้าสัญญานั้นทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ต้องเสียภาษี เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจที่จะประเมินภาษีได้ นอกจากนี้ การรับจ้างทำของเข้าลักษณะเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งที่อยู่ในบังคับที่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

            ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาฎีกา ผู้เขียนเห็นว่าเหตุผลที่ศาลใช้ประกอบการตัดสินข้างต้นนั้น อาจจะยังไม่สอดคล้องกับหลักการเบื้องหลังอันเป็นหลักการในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องอยู่ภายใต้หลักกฎหมายภาษีอากรที่ดี เนื่องจากกฎหมายภาษีอากรเป็นกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะ ประกอบกับเป็นกฎหมายที่กระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของผู้เสียภาษี ทั้งยังมีผลต่อกิจการการค้า ดังจะเห็นได้ชัดจากสัญญาจ้างแรงงานของกรรมการบริษัท บริษัทมหาชน รวมถึงการจ้างกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามที่กฎหมายกำหนด และกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยราชการ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต่างได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่ถือเป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม[1]ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้รับจ้างเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นพนักงาน กรรมการ ฯลฯ ย่อมใช้เพียงแรงกายและสติปัญญาในการตกลงรับทำงานให้แก่นายจ้างและนายจ้างตกลงจ่ายสินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้นั้น ย่อมสอดคล้องกับความหมายของการจากแรงงานตามพจนานุกรมฯ ดังนั้นคำว่า สัญญาจ้างแรงงานก็ไม่อาจใช้ตีความโดยนำเอาความหมายของการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้ เพราะเป็นการตีความที่แคบและไม่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี จากข้อเท็จจริงข้างต้น สัญญาจ้างทำของที่มีลักษณะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของผู้รับจ้างโดยเฉพาะ เช่นการให้บริการที่ปรึกษา ผู้เขียนเห็นว่าการที่ประมวลรัษฎากรยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการจ้างแรงงาน เนื่องจากผู้ใช้แรงงานต้องใช้แรงกายและความสามารถของแต่ละบุคคล ประกอบกับการให้บริการที่ปรึกษาไม่มีต้นทุนอย่างอื่นประกอบ ซึ่งแตกต่างจากการจ้างทำของหรือการให้บริการลักษณะอื่นที่มีต้นทุนวัตถุดิบ วัสดุหรืออุปกรณ์ ด้วยเหตุนี้ย่อมไม่ใช่การจ้างแรงงานเพียงอย่างเดียว ประมวลรัษฎากรจึงไม่บัญญัติยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้ได้

            จากข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้น ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อโจทก์ตกลงเป็นผู้จัดหาสัมภาระ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักร ปุ๋ยบำรุง ยาปราบศัตรูพืช และวัสดุอื่น ๆ ที่ใช้ในการบำรุงดูแลรักษาสวนยาง รวมถึงเป็นผู้จัดหาคนงาน และจะดูแลรักษาสวนยางตามคำแนะนำของสถาบันวิจัยยาง และตามหลักวิชาการเกษตรนั้น การดำเนินงานของโจทก์ จึงเข้าลักษณะการบริหารจัดการของโจทก์เองโดยเฉพาะซึ่งไม่ใช่การใช้เพียงร่างกายและสติปัญญาในการทำงานแต่โจทก์จะต้องจัดหาทีมงานและวัสดุอุปกรณ์เพิ่มเติม และกรณีนี้ถือได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมุ่งถึงผลสำเร็จของการปลูกต้นยางเป็นสำคัญ แม้ศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการชอบแล้ว แต่ผู้เขียนเห็นว่าเหตุผลที่ใช้ประกอบยังคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย

                        ธนินท์รัฐ เหลืองถาวรพจน์

 

            หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มเติมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท สำนักกฎหมายธรรมนิติ จำกัด 2/2 อาคารภักดี ชั้น 2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 หรือโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ 0-2680-9751, 0-2680-9760 Email: budhimak [at] dlo.co.th, chatwaleem [at] dlo.co.th




[1]ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 205)

 

บริการกฎหมายภาษีอากร :

1. งานให้คำปรึกษาภาษี

2. งานขอคืนภาษี

3. งานวางแผนภาษี

4. งานตรวจสอบภาษี

5. งานกรอกแบบแสดงรายการภาษี

6. งานให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่

7. งานอุทธรณ์การประเมินภาษี

8. งานคดีภาษีอากร

    เป็นต้น

 

สอบถามบริการโปรดติดต่อ :

กัมพล ทรัพย์ปรุง

+662 680-9724

kamphols [at] dlo.co.th

พุทธิมา เกิดศิริ

+662 680-9751

budhimak [at] dlo.co.th

ชัชวลี ไมตรี

+662 680-9760

chatwaleem [at] dlo.co.th

สุนทรี จุงเลียก

+662 680-9753

soontreej [at] dlo.co.th

ราชศักดิ์ กุลกัลยา

+662 680-9708

ratchasakk [at] dlo.co.th

ชัยศิริ ลิ่วสัมฤทธิ์

+662 680-9708

chaisiril [at] dlo.co.th

 

 

 

 

 

 

ภาระภาษีกรณีเกษียณ

$
0
0
พุทธิมา เกิดศิริ

ภาระภาษีกรณีเกษียณ

 

ช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณของภาครัฐ เป็นช่วงที่ข้าราชการครบกำหนดเกษียณอายุราชการกันอีกด้วย สำหรับผู้ที่ทำงานในบริษัทเอกชน อาจกำหนดระเบียบการเกษียณตามอายุของพนักงานท่านนั้น ๆ ตามแต่ระเบียบบริษัทหรือองค์กรนั้นจะกำหนดขึ้น

ในกรณีที่จะจ้างบุคลากรที่เกษียณอายุทำงานต่อมีทางเลือกในการดำเนินการดังนี้

กรณีนับอายุงานต่อเนื่องหลังเกษียณ

พนักงานที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับการจ้างงานต่อ ภาคเอกชนก็อาจจะต่ออายุงานของพนักงานท่านนั้น ๆ ต่อไปโดยนับอายุงานต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ได้มีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โดยเพิ่มมาตรา 118/1 และกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป แม้นายจ้างจะตกลงต่ออายุงานลูกจ้างที่ครบอายุเกษียณไปเรื่อย ๆ จนเกินอายุ 60 ปี แต่ลูกจ้างที่มีอายุครบ 60 ปีมีสิทธิแสดงเจตนาเกษียณอายุและนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ[1]

 

กรณีให้พนักงานเกษียณแล้วจึงดำเนินการจ้างใหม่

ให้พนักงานใช้สิทธิเกษียณอายุเพื่อรับเงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด จากนั้นจึงรับพนักงานที่เกษียณอายุแล้วเข้าทำงานใหม่

ท่านที่เกษียณอายุจะได้รับเงินได้ 2 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นเงินได้จากการทำงานตามมาตรา 40 (1) หรือ 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบด้วยเงินได้จากการทำงานตามปกติและเงินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะออกจากงาน แต่กฎหมายยอมให้แยกยื่นเงินได้จากการทำงานที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะออกจากกงาน

เงินได้ที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ประมวลรัษฎากร มาตรา 50 (1) วรรคสาม กำหนดหลักเกณฑ์การหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ดังนี้

“มาตรา 50 (1) วรรคสาม

 ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (5) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินค่าภาษีไว้เท่านั้น

มาตรา 48 (5) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานแต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้นแล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้นแล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้

ในกรณีเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จจำนวนหนึ่งและเงินบำนาญอีกจำนวนหนึ่งให้ถือว่า เฉพาะเงินที่จ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จเป็นเงินซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และให้ลดค่าใช้จ่ายจำนวน 7,000 บาท ลงเหลือ 3,500 บาท

จำนวนปีที่ทำงานตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ทางราชการจ่ายให้ถือจำนวนปีที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันนั้นตามกฎหมาย  ระเบียบหรือข้อบังคับของทางราชการ

ในการคำนวณจำนวนปีที่ทำงาน นอกจากกรณีตามวรรคสาม เศษของปี ถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวัน ให้ถือเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ปัดทิ้ง”

 

          ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ตามมาตรา 48 (5) และมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการ คำนวณ ไว้ดังนี้

1.   เงินได้ที่คำนวณตามหลักเกณฑ์ และวิธีการเช่นเดียวกับวิธีการคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

2.   เงินที่จ่ายจากกองทุนดังนี้

      2.1  เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

      2.2  เงินที่จ่ายจากกองทุนตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

      2.3  เงินที่จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนที่ได้จากการโอนหรือเกี่ยวเนื่องจากการโอนมาจากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

3.   เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

4.   เงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการตามข้อ 1. (บำเหน็จบำนาญข้าราชการ)

 

1. เป็นเงินได้ที่จ่ายให้เนื่องจากออกจากงานที่มีระยะเวลาทำงานไม่น้อยกว่า 5ปี

                    1.1 กรณีผู้มีเงินได้ได้เคยออกจากงานมาแล้ว ซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างคนหนึ่งและเข้าทำงานกับนายจ้างอีกคนหนึ่งไม่เกินหนึ่งปี โดยได้โอนเงินและผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างเดิมไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ หรือเข้าทำงานกับนายจ้างเดิมซึ่งมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานและเข้าทำงานใหม่ไม่เกินหนึ่งปี และเมื่อออกจากงานนั้น ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้แยกคำนวณและเสียภาษีต่างหาก[2]ให้นับระยะเวลาการทำงานในระหว่างที่ทำงานกับนายจ้างแต่ละคนเป็นระยะเวลาทำงานตามวรรคหนึ่งด้วย

                    1.2 กรณีผู้มีเงินได้เคยใช้สิทธิเลือกภาษีเงินได้แยกคำนวณและเสียภาษีต่างหาก[3] สำหรับเงินได้ที่ได้รับเมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้ว หรือผู้มีเงินได้เมื่อออกจากงานจากนายจ้างคนใดแล้วมีช่วงระยะเวลาที่ออกจากงานจากนายจ้างนั้นและเข้าทำงานใหม่เกินหนึ่งปี ให้นับระยะเวลาการทำงานเฉพาะที่ได้ทำกับนายจ้างหลังจากนั้น

2. ในกรณีที่มีการจ่ายหรือแบ่งจ่ายจากเงินประเภทเดียวกันหรือหลายประเภท (ทยอยจ่ายหลายก้อนหลายปี) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีเงินได้แยกคำนวณและเสียภาษีต่างหาก[4] ได้เฉพาะเงินได้ที่ได้จ่ายในปีภาษีแรกที่มีการจ่ายเงินได้ดังกล่าวเท่านั้น  ยกเว้น กรณีที่มีการจ่ายเงินให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานให้แก่ข้าราชการซึ่งได้ลาออกจากราชการตามโครงการที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการให้เงินช่วยเหลือแก่ข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ

3. ต้องไม่นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น[5]ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

1. การเลือกเสียภาษีเงินได้แยกคำนวณและเสียภาษีต่างหาก[6]สำหรับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้

1.1 กรณีได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ได้แก่

                             1.1.1 เงินได้ที่คำนวณตามหลักเกณฑ์และวิธีการเช่นเดียวกับวิธีคำนวณบำเหน็จตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จข้าราชการ

                             1.1.2 เงินที่จ่ายจากกองทุนดังนี้

                                   (1) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

                                   (2) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

                                   (3) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ

                             1.1.3 เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

          ให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมาเลือกเสียภาษีโดยหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ทั้งจำนวน

ตัวอย่างที่ 1นายอายุ (โสด) มีอายุงาน 10 ปี ครบเกษียณอายุ 31 ธันวาคม 2560 ได้รับเงินเดือนเดือนละ 70,000 บาท  นายอายุ มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยในเดือนธันวาคม 2560 จำนวน 10 เดือน

 

เงินได้ที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน  70,000 x 10
700,000
หักค่าใช้จ่าย 7,000 x 10
  70,000
คงเหลือ
630,000
หักค่าใช้จ่าย 50%
315,000
คงเหลือเงินได้สุทธิ
315,000
ภาษี
  16,000
เงินได้สุทธิหลังหลักภาษี
684,000

 

1.2 กรณีได้รับเงินที่จ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณแตกต่างไปจากวิธีการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยจ่ายให้พร้อมกัน หรือทยอยจ่ายให้แต่อยู่ในปีภาษีเดียวกัน หากเงินได้พึงประเมินนี้รวมกันแล้วไม่เกินกว่าจำนวนเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงาน ให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมาเลือกเสียภาษี โดยหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากรได้ทั้งจำนวน

ในกรณีเงินได้ตาม 1.2 มีจำนวนเกินกว่าเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงาน ให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมาเลือกเสียภาษี โดยหักค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน ยกเว้นกรณีข้าราชการซึ่งได้ลาออกจากราชการตามโครงการที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการให้เงินช่วยเหลือแก่ข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ และได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามโครงการดังกล่าว โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมาเลือกเสียภาษีโดยหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ทั้งจำนวน

1.3 กรณีได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามข้อ 1.1 (กรณีบำนาญฯ กองทุนฯ ค่าชดเชยฯ) และยังได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานประเภทอื่น ๆ ตามข้อ 1.2 อีก โดยจ่ายให้พร้อมกันหรือทยอยจ่ายให้แต่อยู่ในปีภาษีเดียวกันให้นำเงินได้พึงประเมินนั้นมาเลือกเสียภาษี โดยหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกินเงินได้ตามข้อ 1.1 และหรือ 1.2 หากเงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตาม 1.2 มีจำนวนเกินกว่าเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงานก็ให้นำเงินได้ตาม 1.2 มาคำนวณเพื่อหักค่าใช้จ่ายได้เพียงจำนวนเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงาน

ในกรณีเงินได้ตาม 1.2 มีจำนวนไม่เกินกว่าเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงาน ให้นำเงินได้พึงประเมินตาม 1.2 มาคำนวณเพื่อหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน ยกเว้นแก่กรณีข้าราชการซึ่งได้ลาออกจากราชการตามโครงการที่จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการให้เงินช่วยเหลือแก่ข้าราชการซึ่งลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ โดยได้รับเงินบำนาญฯ และยังได้รับเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานตามโครงการดังกล่าวอีก โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมาเลือกเสียภาษี โดยหักค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 48(5) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ทั้งจำนวน”

 

          การคำนวณฐานเงินได้เพื่อหาเพดานหักค่าใช้จ่ายจากเงินเดือนเดือนสุดท้ายเฉลี่ย+10%

          เงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยปีที่ทำงาน หมายความถึง จำนวนเงินเดือนสำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน ซึ่งเงินเดือนสำหรับระยะเวลาเต็มเดือนเดือนสุดท้ายนี้ จะต้องไม่เกินเงินเดือนถัวเฉลี่ยของ 12 เดือนสุดท้ายก่อนออกจากงานบวกด้วยร้อยละ 10 ของเงินเดือนถัวเฉลี่ยนั้น

          ตัวอย่างที่ 2นายวัยวุฒิ ได้รับเงินเดือน 100,000 บาท ในเดือน มกราคม - มิถุนายน 2560 และเดือนละ 150,000 บาท สำหรับเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2560

.       รวมเงินเดือนทั้งปีเป็นจำนวน                                                                                                         1,500,000 บาท

          นำมาถัวเฉลี่ย                                                                                                                                   125,000 บาท

          บวกร้อยละ 10% ของเงินเดือนถัวเฉลี่ย                                                                                              12,500 บาท

          เงินเดือนเดือนสุดท้ายต้องไม่เกิน                                                                                                      137,500 บาท

          ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้าย                                                                                                              150,000 บาท                                                                       

 

          ดังนั้นถ้านายวัยวุฒิ ทำงานมา 20 ปี เกษียณอายุในเดือนธันวาคม 2560 และได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 10 เดือน และได้รับค่าชดเชยพิเศษอีกร้อยละ 50 ของเงินเดือน คูณด้วยระยะเวลาการทำงานอีกก้อนหนึ่ง นายวัยวุฒิจะมีสิทธิแยกคำนวณภาษีจากเงินได้ก้อนใดและอย่างไรบ้าง

          ค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 150,000 x 10                                                                 1,500,000

          ค่าชดเชยพิเศษ 150,000 x 50% x 20                                                                                        1,500,000

           รวม                                                                                                                                         3,000,000

           เงินเดือนเดือนสุดท้ายไม่เกิน เงินเดือนเฉลี่ย + 10%   137,500 x 20 ปี                                      2,750,000

           เงินที่ได้ไม่เกินหลักเกณฑ์ที่กำหนดการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นดังนี้

           เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน                                                                 3,000,000

           หักค่าใช้จ่าย 7,000 x 20                                                                                                             140,000

           คงเหลือ                                                                                                                                   2,860,000

           หักค่าใช้จ่าย 50% ไม่เกินฐานที่กำหนด ((2,750,000-140,000)x50%)                                     1,305,000

           คงเหลือเงินได้ก่อนภาษี                                                                                                             1,555,000

           ภาษีหัก ณ ที่จ่าย                                                                                                                           261,250

            เงินได้สุทธิหลังหักภาษี                                                                                                              2,738,750

          เงินได้ซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานทั้ง 4 กรณี ผู้มีเงินได้สามารถเลือกเสียภาษีเท่าที่ถูกหักภาษีไว้ ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น ทั้งนี้ต้องยื่นใบแนบแบบ (กรณีการคำนวณเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานเฉพาะที่เลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ๆ) แสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด 91 ตามแต่กรณี

          หากนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานหลายราย  ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น โดยนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวรวมกันแล้วให้คำนวณและชำระภาษี (ถ้ามี) พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สำหรับจำนวนปีที่ทำงาน ให้ถือจำนวนปีที่ทำงานกับนายจ้างในรายที่มีจำนวนปีที่ทำงานมากที่สุด    

          สำหรับผู้ที่ทำงานจนเกษียณ ก็คงถึงเวลาพักผ่อนสมอง และมีความสุขจากการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ สามารถเลือกทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ ซึ่งจะแตกต่างไปจากชีวิตการทำงานปกติโดยสิ้นเชิง ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณพร้อมทั้งมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง   

 

 

-------------------------------------------------




[1]มาตรา 144 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560  

[2]มาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร

[3]เพิ่งอ้าง

[4]เพิ่งอ้าง

[5]มาตรา 48 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร

[6] มาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร

Viewing all 253 articles
Browse latest View live